เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในงาน Detroit Auto Show 2022 สำหรับ All-New Ford Mustang เจนเนอเรชั่นที่ 7 แม้ว่ายังใช้พื้นฐานมาจากเจนเนอเรชั่นก่อน ที่เปิดตัวในปี 2015 แต่รูปโฉมภายนอก และเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร ได้รับการออกแบบและอัพเกรดใหม่ สมรรถนะของขุมพลังก็มากกว่าเดิม ให้สมกับการรอคอยของสาวก ซึ่งในเมืองไทยเอง ก็มีอยู่ไม่น้อย ถือว่าเป็นรถสปอร์ตรุ่นเริ่มต้นในยุคนี้ก็ว่าได้ แต่สิ่งที่คนมักจะคาดหวังจากรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก็คือเวอร์ชั่นไฟฟ้า ซึ่งยังไม่มีวี่แววใน Mustang โฉมใหม่ แม้ว่าจะเคยมีข่าวลือมาก่อน โดย Ford เตรียมจำหน่าย All-new Mustang ในช่วงกลางปี 2023 ก่อนจะทยอยทำตลาดในประเทศต่างๆทั่วโลก
จากการที่ใช้พื้นฐานเดิมจากเจนเนอเรชั่นก่อน นั่นทำให้สัดส่วนของ Mustang โฉมใหม่ รวมถึงดีไซน์โดยรวม ดูคล้ายกันของเดิม เพียงแต่ไฟหน้าได้รับการออกแบบใหม่ มาพร้อมลวดลายภายในที่มีมิติมากขึ้น แบ่งเป็น 3 ส่วน ให้ล้อกับดีไซน์ของไฟท้าย ที่ยังคงเอกลักษณ์ด้วยเส้นแนวตั้งเรียงกัน 3 แถบ แต่ส่วนของพื้นสีดำที่เชื่อมไฟท้ายทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน ถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นสีเดียวกับตัวถังแทน โดยส่วนดังกล่าวมีการทำมุมกับสปอยเลอร์ท้าย ทำให้ไฟท้ายทั้ง 3 แถบ มีรูปทรงคล้ายกับหัวลูกศร ที่สามารถสังเกตได้จากด้านข้างหรือมุมรถ
Ford ยังไม่เปิดเผยตัวเลขด้านสมรรถนะของ Mustang โฉมใหม่ นอกจากเคลมว่า เครื่องยนต์ Coyote V8 ความจุ 5.0 ลิตร จะทำให้ Mustang GT เป็นรุ่นที่ทรงพลังมากที่สุดตั้งแต่เคยผลิตออกมาจำหน่าย จากการใช้ลิ้นปีกผีเสื้อคู่เป็นครั้งแรก ส่วนระบบส่งกำลังนั้น ยังมีมาให้เหมือนเจนเนอเรชั่นก่อน คือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด และถือว่าเป็นครั้งแรกที่ฝากระโปรงหน้าของรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ 4 สูบ และรุ่นเครื่องยนต์ V8 มีความแตกต่างกัน โดยในรุ่น V8 GT จะมาพร้อมช่องระบายความร้อน และฝากระโปรงก็มีความโป่งนูนมากกว่า
สำหรับห้องโดยสารภายใน ได้รับการออกแบบใหม่ ยกเว้นส่วนของที่วางแขนคอนโซลกลาง และที่วางแขนข้างประตู ที่ยังถูกส่งต่อมาจากเจนเนอเรชั่นก่อน ไฮไลต์อยู่ตรงที่จอแสดงผลการขับขี่ขนาด 12.4 นิ้ว และจอแสดงผลกลางระบบ infotainment ขนาด 13.2 นิ้ว ถูกเชื่อมเป็นจอเดียวกันแบบลอยตัว หรืออาจจะเรียกว่าเป็นจอคู่ คล้ายหน้าจอของเครื่องบินต่อสู้อากาศยาน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ถือว่าเป็นการปฏิวัติรูปแบบการวางหน้าจอต่างๆ ที่มีใช้มาตั้งแต่เจนเนอเรชั่นแรก ในปี 1964 เลยทีเดียว โดยงานกราฟฟิคและการแสดงฟังค์ชั่นการทำงานต่างๆ จะคล้ายกับการเลือกฟังค์ชั่นการทำงานของรถยนต์ในเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Ford เผยว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลุ่มคนรักการเล่นเกมนั่นเอง ซึ่งเจ้าของรถ สามารถตั้งค่าต่างๆให้เข้ากับความชอบส่วนตัวของแต่ละคนได้ นอกจากนั้นจอแสดงผลทั้งสองจอ สามารถตั้งค่าให้แชร์ข้อมูลต่างๆผ่านกันได้ เบรคมือแบบดั้งเดิม ได้ถูกแทนที่ด้วยเบรคมือไฟฟ้า แต่จะเป็นอ็อปชั่นในรุ่น GT สำหรับการขับขี่ในโหมดดริฟท์
ระบบห้ามล้อมาพร้อมดิสก์เบรคขนาดใหญ่ขึ้น โดยเป็นขนาด 390 มม สำหรับล้อคู่หน้า มาพร้อมคาลิปเปอร์ Brembo แบบ 6 ลูกสูบ และขนาด 355 มม สำหรับล้อคู่หลัง ที่มากับคาลิปเปอร์ Brembo ขนาด 4 ลูกสูบ โดยลูกค้าในสหรัฐอเมริกา จะมีสีคาร์ลิปเปอร์ให้เลือก 4 สีในรุ่น Mustang GT คือสีน้ำเงิน สีแดง สีดำ และสีเงิน มาพร้อมโลโก้ Mustang ขนาดเล็ก
ไฮไลต์อื่นๆได้แก่ เฟืองท้าย Limited Slip ระบบกันสะเทือนแปรผัน MagneRide ท่อไอเสียสไตล์สปอร์ต และระบบหล่อเย็นเสริม โดยในบางรุ่น จะมีอ็อปชั่นเป็นรีโมทเร่งเครื่องยนต์จากระยะไกลให้ด้วย
และแม้ว่า Ford Mustang ใหม่ จะมาพร้อมระบบความปลอดภัยอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในเลน ระบบช่วยอ่านป้ายจราจร ระบบ radar cruise control ที่มาพร้อมระบบ stop and go แต่เจ้าหน้าที่ Ford กลับบอกว่า เรตติ้งความปลอดภัยระดับ 5 ดาวว ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญ ซึ่งก่อนหน้านี้้ เคยมีรายงานข่าวว่า All-New Mustang อาจจะไม่สามารถได้รับเรตติ้งระดับ 5 ดาวได้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายจุด แต่ด้วยการที่ยังใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิม ที่เคยทำเรตติ้งในการทดสอบความปลอดภัยจากการชน ในปี 2017 เพียง 2 และ 3 ดาวมาก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม Ford จึงไม่ได้คาดหวังกับระดับความปลอดภัยสูงสุด
แม้ว่า Ford ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดทางด้านเทคนิคของ Mustang โฉมใหม่มากนัก แต่บริษัทได้นำเสนอภาพของ Mustang รุ่นต่างๆให้เห็นกันก่อนแบบเต็มอิ่ม โดยเฉพาะรุ่นสูงสุดในไลน์อัพ อย่างรุ่น Mustang Dark Horse สีเทา ที่จะมาพร้อมขุมพลัง Coyote V8 ความจุ 5.0 ลิตร ที่ใช้ในรุ่น Mustang GT โดยพละกำลังสูงสุด คาดว่าจะอยู่ที่ 500 แรงม้า จากเดิม 450 แรงม้าในรุ่น GT
สำหรับการทำตลาดในเมืองไทย คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2024 เป็นอย่างเร็ว เพราะตลาดสำคัญที่มีการยืนยันจำหน่ายทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบ และ V8 อย่างประเทศออสเตรเลีย Ford จะเริ่มจำหน่ายได้เร็วที่สุด ก็คือช่วงปลายปี 2023 ตามหลังตลาดอเมริกา ที่เริ่มจำหน่ายในช่วงกลางปีเดียวกัน
[yourchannel video=”oRrtnhbenyE” autoplay=”1″ show_comments=”1″]