ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา อินโดนีเซีย ขึ้นมามีบทบาท ในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ด้วยเม็ดเงินลงทุนหลายแสนล้านบาท จากค่ายรถยนต์ต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน ซึ่งกุญแจแห่งความสำเร็จก็คือ การดำเนินนโยบายเชิงรุก ในการเข้าไปเจรจากับผู้บริหารระดับสูงสุด ของค่ายรถยนต์ต่างๆ โดยรัฐบาลของอินโดนีเซียเอง ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญก็คือ ตัวประธานาธิบดี โจโค วิโดโด้ ซึ่งมีรายงานข่าวมาหลายต่อหลายครั้ง ถึงการเดินทางไปเจรจาต่อรองในต่างประเทศด้วยตัวเอง แต่ก็ยังมีบางค่ายรถยนต์ ที่มีข่าวความเคลื่อนไหวมานาน แต่รัฐบาลอินโดนีเซีย ก็ยังไม่สามารถปิดดีลลงไปได้ ค่ายรถยนต์ที่ว่าก็คือ Tesla ซึ่งล่าสุด มีรายงานความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจที่สุด ตั้งแต่ที่รัฐบาลอินโดนีเซีย ได้เริ่มเจรจากับบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริการายนี้
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย โจโค วิโดโด้ ได้พบปะกับ Elon Musk CEO ของ Tesla ณ ฐานปล่อยจรวด SpaceX ที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่ง Musk ได้ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ในการพาวิโดโด้ เข้าชมโรงงานผลิตจรวดของ SpaceX แห่งนี้ โดยเนื้อหาในการพูดคุย เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ โดยก่อนหน้านั้น ทั้งคู่ได้เจรจากันในเรื่องของความเป็นไปได้ ในการลงทุนเกี่ยวกับการผลิตแบตเตอรี่ ที่ใช้แร่นิเกิลเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในประเทศอินโดนีเซีย
สื่อดังอย่าง Reuters ได้รายงานว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้แทนของ Tesla ได้ไปเยือนประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเจรจากับรัฐบาล เกี่ยวกับการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ที่นั่น ซึ่ง Musk ได้แถลงว่า มีความเป็นไปได้ในการหลายทาง ที่จะมีความร่วมมือกันเกิดขึ้น เนื่องจากอินโดนีเซียมีศักยภาพอย่างมาก ในการเป็นฐานการลงทุน ซึ่งประธานาธิบดีวิโดโด้ ต้องการให้ Tesla เข้าลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ในด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้แบตเตอรี่จากแร่นิเกิลเป็นส่วนประกอบ และยังเชิญชวนให้ Musk สร้างฐานการปล่อยจรวดในอินโดนีเซียอีกด้วย
หลังจากที่มีการพบปะพูดคุยกันแล้ว วิโดโด้ยังได้เชิญ Musk ไปเยือนประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย ซึ่งสื่อท้องถิ่นได้รายงานว่า วิโดโด้เปิดเผยว่า Musk คาดหวังที่จะไปเยือนอินโดนีเซียได้ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง ซึ่งประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน G20 Bali Summit ในช่วงนั้น ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดของชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ 19 ชาติ ร่วมกับสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงชาติสำคัญอย่างจีน และรัสเซียอีกด้วย
การประโคมข่าวจากทางฝั่งของ Tesla และรัฐบาลอินโดนีเซีย เกี่ยวกับการพบปะในครั้งนี้ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้สูง ว่าในอีกไม่นาน ทั้งสองฝ่าย จะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ซึ่งส่งผลให้อินโดนีเซีย กลายเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ที่สำคัญของโลกในอีกไม่ช้า