เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Ford Ranger เจนเนอเรชั่นปัจจุบัน ไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควรในหลายตลาด รวมถึงเมืองไทย ก็คือปัญหาของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ที่ทำให้แบรนด์ ถูกลดความน่าเชื่อถือลงไปมาก และปัญหานี้ ก็ดูเหมือนจะเรื้อรังจนยากจะแก้ไขได้ เว้นเสียแต่ว่า มีการเปลี่ยนแปลงแบบยกเครื่องใหม่ และการเปลี่ยนเจนเนอเรชั่นของ Ranger ล่าสุด ก็เหมือนเป็นการบอกกลายๆว่า ปัญหาต่างๆที่มีอยู่ กำลังจะหายไปพร้อมกับ Ranger โฉมเดิม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในเรื่องของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ก็ยังอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนต่างประเทศ เมื่อ Ford ได้ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับ All-New Ranger เจนเนอเรชั่นใหม่ แม้ว่าในเบื้องต้น Ford ยังไม่เปิดเผยตัวเลขสมรรถนะ ของขุมพลังต่างๆที่ใช้ แต่ให้ความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ ว่าจะทำงานได้ดีขึ้น หัวฉีดน้ำมัน จะทำงานได้แน่นอนขึ้น และการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นไปอย่างนุ่มนวลมากกว่าเดิม
สำหรับขุมพลังที่คาดว่าจะมีให้เลือก ใน All-New Ford Ranger โฉมใหม่ ซึ่งไม่รวมรุ่น Raptor มีดังต่อไปนี้
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ที่จะมี 2 ระดับกำลังให้เลือก จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
- เครื่องยนต์ดีเซลทวินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4WD แบบ part time ซึ่งจะเป็นขุมพลังมาตรฐาน ในรุ่น Double Cab 4×4 โดยมีอ็อปชั่นเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ V6 ความจุ 3.0 ลิตร
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 ความจุ 3.0 ลิตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4WD แบบ permanent
- เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร ที่จะมีให้เลือกในตลาดสหรัฐอเมริกา และมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีเวอร์ชั่นไฮบริดที่มาพร้อมเครื่องยนต์รุ่นนี้ด้วย
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลทวินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ที่ผลิตในอินเดีย และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่มีปัญหาใน Ranger โฉมปัจจุบัน มาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ยังจะมีใช้ใน Ranger โฉมใหม่บางรุ่น ทำให้ลูกค้าบางกลุ่ม อาจจะรู้สึกกังวลในเรื่องประสิทธิภาพ และเสถียรภาพของเครื่องยนต์และชุดเกียร์ ซึ่งประเด็นนี้ Ford ได้ให้ความมั่นใจว่า ปัญหาหัวฉีดน้ำมันที่เกิดขึ้น กับการผลิต 2 ล็อต สำหรับ Ranger ในปีหลังๆ ได้ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัญหานี้ ได้เกิดขึ้นในเมืองไทย ออสเตรเลีย และอีกหลายตลาด
Pritika Maharaj ผู้จัดการฝ่าย Global Program สำหรับ Ranger โฉมใหม่ จาก Ford ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนในต่างประเทศว่า บริษัทตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังเป็นอย่างดี และมองเรื่องนี้ว่า มีข้อดีที่ทำให้บริษัท ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดต่างๆเพื่อนำมาแก้ไข ให้ใช้ได้ดีกับ Ranger เจนเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่า จะไม่มีปัญหาเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังอีกต่อไป โดยวิศวกรของ Ford ได้ทำการทดสอบเครื่องยนต์ดีเซลทวินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร และหัวฉีดน้ำมันอย่างเข้มข้น เพื่อใช้ใน Ranger โฉมใหม่ ซึ่งหัวฉีดรุ่นใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดย Continental ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายหนึ่งของ Ford โดยมีการทดสอบเครื่องยนต์แบบสุดขั้ว ด้วยการเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ ติดต่อกันยาวนานถึง 700 ชั่วโมง หรือเทียบเท่ากับการขับรถรอบโลก ถึง 6 รอบด้วยกัน และมีการทดสอบในสภาพอากาศ ที่มีอุณหภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 50 องศาเซลเซียส จึงขอให้ลูกค้าสบายใจได้ในเรื่องนี้
การปรับปรุงขุมพลังให้ดีขึ้น ยังเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 ความจุ 3.0 ลิตร ที่นำมาจากรุ่น F-150 อีกด้วย ซึ่งแม้ว่าขุมพลัง V6 นี้ จะมีการพิสูจน์มาแล้ว จากการใช้งานจริง แต่ Ford ยังมองว่า มันถือว่าเป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่สำหรับ Ranger จึงมีการปรับปรุงส่วนต่างๆ ให้เข้ากับตัวรถ เช่น การออกแบบระบบหล่อลื่นใหม่ เพื่อให้เทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำงานได้ดีกับการขับขี่อย่างหนักในแบบออฟโรด ซึ่ง Ford ได้นำเสนอขุมพลังรุ่นนี้ เพราะมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าว่า ต้องการเครื่องงยนต์ที่มีพละกำลัง และแรงบิดมากขึ้น เพื่อใช้งาน ในกรณีที่ต้องลากจูงโหลดที่มีน้ำหนักมาก หรือขับขี่ไปบนเส้นทางออฟโรดแบบสุดขั้ว ซึ่งขุมพลังดีเซลเทอร์โบ V6 จะทำให้คุณรู้สึกว่า กำลังขับรถกระบะ ที่มีขนาดใหญ่กว่า Ranger มาก ซึ่งสามารถรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ ในทันทีที่กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งแม้ว่า Ford ยังไม่เปิดเผยตัวเลขด้านสมรรถนะ แต่ได้บอกเป็นนัยๆว่า เครื่องยนต์รุ่นนี้ จะไม่เป็นสองรองใคร ในด้านพละกำลังและแรงบิด สำหรับรถกระบะในระดับเดียวกัน
มหาราช ยังเสริมอีกว่า แม้ว่าเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ V6 ความจุ 3.0 ลิตร จะได้รับความสนใจจากทุกฝ่ายเป็นพิเศษ แต่บริษัทก็ยังให้ความสำคัญกับขุมพลังที่รองลงมาเท่าๆกัน อย่างเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ความจุ 2.0 ลิตร ซึ่งเป็นรุ่นเครื่องยนต์ ที่ถูกเลือกใช้มากสุด โดยกลุ่มลูกค้าองค์กร หรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งคงไม่มีใครใช้งานรถ ได้ระยะทางและจำนวนชั่วโมงต่อวัน ที่มากกว่ากลุ่มลูกค้านี้แน่ๆ นั่นทำให้้ Ford ต้องทำการทดสอบเครื่องยนต์รุ่นนี้อย่างเข้มข้น ในสภาวะการณ์ต่างๆทั่วโลก ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ต้องการรถที่มีพละกำลัง ในขณะเดียวกันก็ประหยัดน้ำมันด้วย
สำหรับระบบส่งกำลัง FORD ยังคงใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด รหัส 10R80 ซึ่งมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อใช้งานกับ Ranger โฉมใหม่ โดย Ford ให้ความมั่นใจว่า เกียร์ชุดใหม่นี้ จะทำงานได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น ตอบสนองดีขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยลูกค้าจะพบว่า รถจะตอบสนองได้ดีขึ้น ไม่มีปัญหาของการดีเลย์ในการเร่งเครื่อง ราวกับว่า ตัวรถและเครื่องยนต์ ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าเดิม นอกจากนั้นยังมีโหมดลากจูง เพื่อใช้กับรถพ่วง หรือโหลดที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด จะมาพร้อม torque converter แบบใหม่ และอัตราทดเกียร์ใหม่เช่นกัน
ชุดเกียร์ 10R80 นี้ ยังมาพร้อมระบบ adaptive shift-scheduling แบบ real time ที่จะปรับให้เข้ากับรูปแบบการขับขี่ของแต่ละคน เพื่อให้การเข้าเกียร์ ทำได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น หากคุณเป็นคนที่เหยียบคันเร่งแรง ระบบนี้จะรับรู้สไตล์การขับขี่ของคุณ และทำการปรับช่วงเวลาในการเปลี่ยนเกียร์ ให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบส่งกำลังนี้ ได้มีใช้ในรุ่น F-150 และ F-150 Raptor มาก่อนแล้ว โดยมีการทดสอบในระยะทางสะสม มากกว่า 6 ล้านกิโลเมตร และผ่านการใช้งานในการแข่งขันออฟโรด มาเกือบ 4,000 กิโลเมตร
เอียน ฟอสตัน หัวหน้าวิศวกรในการพัฒนา Ford Ranger เผยว่า ระบบระบายความร้อนของ Ranger โฉมใหม่ ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น จากการไหลเวียนอากาศที่ดีขึ้น ผ่านทางกระจังหน้า หม้อน้ำขนาดใหญ่ขึ้น และการนำเอาพัดลมไฟฟ้ามาใช้เพิ่มเติม เพื่อเสริมพัดลมที่ทำงานด้วยเครื่องยนต์ เป็นผลมาจากการที่ได้รับข้อมูลจากลูกค้า ที่รู้สึกว่า รถยนต์จะร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีการใช้งานอย่างหนัก ซึ่ง Ford ต้องการให้มั่นใจว่า การไหลเวียนของอากาศ จะมีมากพอ โดยเฉพาะในช่วงที่แล่นด้วยความเร็วต่ำ บนพื้นเส้นทางออฟโรด หรืออยู่ในทะเลทราย ที่ต้องมั่นใจว่า เครื่องยนต์จะไม่ร้อนจนเกินไป ซึ่งการออกแบบระบบเหล่านี้ ได้คำนึงถึงชุดแต่งหน้ารถ ที่มีอยู่ในตลาด เพราะในปัจจบัน ลูกค้านิยมที่จะไปทำการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มเติมในภายหลัง เช่น วินช์ หรือชุดไฟส่องสว่างหน้ารถ ทำให้หลายครั้ง ชุดแต่งเหล่านี้ ไปขัดขวางการไหลเวียนของอากาศ ซึ่ง Ford ได้ร่วมมือกับ ARB ที่ในปัจจุบัน ได้ร่วมกันในการพัฒนาชุดแต่งต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่า อุปกรณ์หน้ารถที่เพิ่มเข้ามา จะไม่ไปขัดขวางการไหลเวียนของอากาศ
การออกมาให้ความมั่นใจในเรื่องความน่าเชื่อถือของเครื่องยนต์บางรุ่น และระบบส่งกำลัง น่าจะช่วยให้ลูกค้าที่ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้ สบายใจขึ้น อย่างน้อย Ford ก็ออกมายอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นจริงๆ และได้ทำการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว