ตลาดรถยนต์ของเมืองไทยในปีนี้ จะบอกว่าเป็นขาลง ในรอบหลายสิบปีก็ไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งในและต่างประเทศอยู่เป็นระยะ แต่ยังไม่มีปีใด ที่กำลังซื้อในตลาด หดหายไปมากขนาดนี้ ล่าสุด ยอดขายรถยนต์ในเมืองไทย ในไตรมาสแรกของปี 2024 นี้ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถึง 29.8% ทำให้มียอดขายทั้งตลาด อยู่ที่เพียง 56,099 คันเท่านั้น ที่หนักหนาสาหัสกว่าเพื่อน ก็คือตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่มียอดขายลดลง ถึง 45.5% เหลือเพียง 19,648 คันเท่านั้น และที่อาจจะเรียกว่าโดน 2 ต่อ ก็คือค่ายรถยนต์ที่จำหน่ายทั้งรถยนต์นั่ง และรถเชิงพาณิชย์ อย่าง Toyota ที่กำลังสูญเสียตลาดรถยนต์นั่ง ให้กับค่ายจีนในแทบจะทุกเซกเมนต์ในเมืองไทย และยังต้องมาเจอกับการหดตัวของตลาดรถกระบะปิกอัพ ทั้งๆที่ยังไม่มีคู่แข่งจากจีน เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางตลาดเลยด้วยซ้ำ และ Toyota เพิ่งกลับมาทำยอดขายแซง ISUZU ได้ จากยอดขายของ Hilux Champ ซึ่งต่อจากนี้ เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในตลาดรถยนต์ของไทย หากมีค่ายรถยนต์จีน ส่งตัวเลือกใหม่ลงมาแข่งขัน หลังจากที่ GWM เพิ่งส่ง Poer Sahar มาชิมลางตลาดรถกระบะของไทยไปแล้ว ด้วยรุ่นไฮบริด แม้ว่ายอดจองยังถือว่าน้อยนิด
ตลาดรถกระบะเมืองไทย อาจจะใช้เวลาสักพัก ถึงจะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า รถกระบะยุคใหม่ ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือไฮบริด จะสามารถขึ้นมาเป็นทางเลือก ของลูกค้าส่วนใหญ่ในตลาดได้หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่า ในตลาดรถรถกระบะปิกอัพขนาด 1 ตันอันดับ 2 ของโลก อย่างออสเตรเลีย สื่อดังบางสำนัก เริ่มมีการวิเคราะห์กันแล้วว่า นี่อาจจะเป็นการสิ้นสุด ในการเป็นเจ้าตลาดของToyota Hilux และ Ford Ranger ในประเทศออสเตรเลีย จากการเข้ามาของทางเลือกใหม่ อย่าง BYD Shark และ Kia Tasman
ในปี 2023 ที่ผ่านมา ยอดขายรถกระบะปิกอัพในประเทศออสเตรเลีย มีมากกว่า 200,000 คัน แต่การเติบโตของตลาด อาจจะต้องเจอกับความท้าทายในอนาคต โดยเฉพาะข้อกำหนดทางด้านมลพิษจากทางรัฐบาลออสเตรเลีย ซึ่งกฏหมายใหม่ จะมีบทลงโทษบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายรถที่ปล่อยมลพิษมากเกินกำหนด ด้วยค่าปรับสำหรับทุกกรัมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมา และกฏหมายนี้ อาจจะถูกขยายขอบเขตของบทลงโทษ ให้ครอบคลุมฝั่งของผู้ใช้รถด้วย แน่นอนว่า มาตรการดังกล่าว จะทำให้ลูกค้าในตลาดหันไปซื้อทางเลือกอื่นแทน ซึ่งก็คือรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะไฮบริดหรือไฟฟ้าแบตเตอรี่
ในตลาดที่มีกฏหมายที่กดดันให้ค่ายรถยนต์ต้องผลิตรถที่ก่อให้เกิดมลพิษน้อยลง จนอาจจะต้องลดขนาดบริษัทลงไปในที่สุด เป็นเหมือนสัญญาณบ่งบอกว่า เราได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของตลาดรถกระบะปิกอัพที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียวแล้ว Kia ได้สร้างกระแสบนโลกอินเตอร์เน็ท ด้วยการเตรียมเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ Tasman ที่เป็นคู่แข่งของ Ford Ranger และ Toyota Hilux โดย Damien Meredith นายใหญ่ของ Kia ออสเตรเลียได้เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขาย Tasman ได้ราว 20,000-25,000 คันในออสเตรเลีย ซึ่ง Kia Australia เป็นผู้นำในการพัฒนารถกระบะรุ่นนี้ขึ้นมา
ในออสเตรเลีย ยังมีแบรนด์รถกระบะจีนอย่าง JAC ที่ทำตลาดรุ่น T9 อยู่ด้วย ซึ่งในปัจจุบัน มีตัวแทนจำหน่ายกว่า 50 รายเฉพาะในฝั่งตะวันออกไปแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ราว 10,000 คัน ภายในปี 2026 ในขณะที่ GWM เตรียมเปิดตัว Cannon Alpha รถกระบะไฮบริด ในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งมีมิติตัวถังที่ใหญ่กว่าทั้ง Toyota Hilux และ Ford Ranger เล็กน้อย และที่ได้รับการจับตามองมากเป็นพิเศษ ก็คือ BYD Shark รถกระบะ Plug-in Hybrid ที่จะเริ่มทำตลาดในออสเตรเลีย ภายในปี 2024 นี้ โดย Luke Todd ตัวแทนจำหน่าย BYD ในแดนจิงโจ้ได้เปิดเผยว่า Shark ไม่ใช่รถกระบะที่เกิดจากการดัดแปลงรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน เพื่อมาทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ แต่เป็นรถยนต์ที่ใช้แพลตฟอร์มระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามาตั้งแต่แรก ที่มีอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำมากๆ โดยจะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบความจุ 1.5 ลิตร ทำให้ผู้ขับ ไม่ต้องกังวลในเรื่องระยะทางการขับขี่ มันคือรถยนต์ที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดออสเตรเลียได้มากที่สุด ก่อนที่จะมีการเปิดตัวรุ่นไฟฟ้าแบตเตอรี่ตามมาในปี 2025 โดยสื่อยานยนต์ออสเตรเลียอย่าง Carsales มองว่า การเข้ามาของรถกระบะจากจีน โดยเฉพาะ BYD Shark น่าจะทำให้เจ้าตลาดอย่าง Toyota Hilux และ Ford Ranger เสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปพอสมควร จากความสดใหม่กว่า และราคาที่ต่ำกว่าของคู่แข่ง โดยสื่อรายดังกล่าวเชื่อว่า Toyota จะสามารถดูดซับแรงกระแทกจากการสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดของ Hilux ได้ เพราะในภาพรวม ยังเป็นเจ้าตลาดอยู่ ซึ่งจะตรงข้ามกับ Ford ที่ Ranger มียอดขายมากถึง 70% ของยอดขายทั้งบริษัทในออสเตรเลียในปี 2023 ที่ผ่านมา นอกจากนั้นแล้ว การเข้ามาของทางเลือกใหม่จากจีน อาจจะส่งผลต่อผู้เล่นรายอื่นๆในตลาดด้วย อย่างเช่นกรณีของ Nissan Navara ที่ตอนนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนโฉม จนกว่าจะถึงปี 2025 ในขณะที่ ISUZU D-MAX และ MAZDA BT-50 ที่ถูกสร้างบนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการยืนยันแผนเปิดตัวเวอร์ชั่นไฟฟ้าสำหรับ D-MAX ไปแล้ว ส่วน MAZDA BT-50 ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อาจจะเป็นไปได้ว่า ยังทำตลาดตามรุ่นของ D-MAX ดังเดิม
ตลาดรถกระบะของออสเตรเลียที่เปิดกว้างขึ้น น่าจะทำให้รถกระบะที่ขายดีที่สุดในอนาคต เป็นรถกระบะรุ่นใหม่ และตลาดรถกระบะที่ใหญ่เป็นอันดัยต้นๆของโลกอย่างออสเตรเลีย น่าจะเป็นกรณีศึกษาได้อย่างดีสำหรับตลาดเมืองไทย แต่โจทย์ของเจ้าตลาดอย่าง TOYOTA อาจจะต่างกัน เพราะในเมืองไทย ค่ายรถยนต์จีน ได้เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่ง ที่ถือว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของ Toyota ไปแทบจะทุกสมรภูมิแล้ว นั่นทำให้การสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดของรถกระบะในเมืองไทย น่าจะส่งผลกระทบอย่างมากกับทาง Toyota เพราะมันคือสมรภูมิสุดท้าย ที่รถของบริษัท ยังได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของประเทศ แถมยังถูกซ้ำเติมจากการที่ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยหดตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน งานนี้อาจจะทำให้เจ้าตลาดอย่าง Toyota Ford รวมถึงค่ายอื่นๆ กำลังเข้าสู่ช่วงขาลง ไม่ใช่เพียงแค่ในตลาดสำคัญอย่างออสเตรเลียเท่านั้น แต่อาจจะรวมถึงเมืองไทยด้วย