ไม่รีบอย่าเพิ่งซื้อ BYD มีแผนเปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่เวอร์ชั่นใหม่ในปีนี้ สื่อจีนคาด รถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นของบริษัท อาจจะวิ่งได้ไกลทะลุ 1,000 กิโลเมตรต่อชาร์จ สงครามราคาครั้งใหญ่ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ด้วยยอดขายในเมืองไทยอย่างสม่ำเสมอ มาจนถึงงานมอเตอร์โชว์ครั้งล่าสุด ที่เพิ่งปิดฉากลงไป กับยอดจองรถยนต์เป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่เพียง Toyota ทำให้ BYD ได้กลายเป็นแบรนด์หลักของเมืองไทย ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว สิ่งที่ท้าทายก็คือ การเข้ามาเป็นเจ้าตลาดอย่างเต็มตัวในดินแดนแห่งรอยยิ้ม ซึ่งหากจะไปถึงจุดนั้นได้ BYD ก็อาจจะจำเป็นจะต้องเข้าไปเจาะตลาดรถกระบะปิกอัพ ที่มีทั้ง ISUZU และ TOYOTA ครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดเอาไว้อย่างเหนี่ยวแน่น มานานหลายสิบปี ซึ่งทุกอย่างน่าจะชัดเจนขึ้น เมื่อ BYD เปิดตัวรถกระบะปิกอัพเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid พวงมาลัยขวา ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ และในอีกเส้นทางของการเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ก็คือการขยายตลาดที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆเพิ่มขึ้น การทำราคาให้ดีกว่าเดิม การเพิ่มอ็อปชั่นให้น่าสนใจ รวมถึงการเพิ่มสมรรถนะของตัวรถ ให้สูงขึ้่นกว่าเดิม ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือการพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความจุไฟฟ้าที่มากขึ้น น้ำหนักน้อยลง ขนาดเล็กลง ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่ง Blade Battery ถือว่าเป็นจุดขายของ BYD มาโดยตลอด ล่าสุด บริษัทกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ของ Blade Battery ในเร็ววันนี้ ด้วยการเปิดตัว Blade Battery เวอร์ชั่นใหม่ ที่คาดว่าอาจจะได้เห็นกัน ภายในปี 2024 นี้
สื่อจีนบางสำนัก ได้รายงานว่า FinDreams บริษัทในเครือของ BYD ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ให้กับบริษัท เตรียมเปิดตัว Blade Battery เจนเนอเรชั่นที่ 2 ภายในปี 2024 นี้ โดยคาดว่า น่าจะเกิดขึ้นภายในสิงหาคมที่จะถึง หนึ่งในการอัพเกรดสำคัญ ก็คือความหนาแน่นพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ที่คาดว่า จะทำได้ถึงระดับ 190 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม
เบลดแบตเตอรี่รุ่นดั้งเดิม ถูกแนะนำเข้าสู่ตลาดในปี 2020 และทำให้เกิดการปฏิวัติในวงการรถยนต์ไฟฟ้าของโลก จากการที่บริษัท สามารถผลิตแบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออนฟอสเฟต ที่มีราคาถูกขึ้น และให้ความหนาแน่นพลังงาน ที่สามารถแข่งขันได้กับแบตเตอรี่แบบ NCM หรือ Nickel Cobalt Manganese ซึ่งคุณสมบัตินี้ สร้างขึ้นมาโดยการจัดวางเซลล์แบตเตอรี่แต่ละเซลล์ ให้เรียงกันเป็นรูปใบมีด จึงที่มาของชื่อ เบลดแบตเตอรี่ ซึ่งการจัดเรียงแบบนี้ ทำให้ประหยัดพื้นที่ไปได้ถึง 50% จากรูปแบบเดิมของแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนฟอสเฟตในยุคนั้น โดยเบลดแบตเตอรี่เจนเนอเรชั่นแรก มีความหนาแน่นพลังงาน ที่ 140 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะเพิ่มขึ้นเป็น 150 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม
หวังชวนฟู่ ประธานบริษัท BYD ได้เปิดเผยเกี่ยวกับการพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดใหม่ ในระหว่างการประชุมรายงานทางด้านการเงินของบริษัทครั้งล่าสุด โดยเขาได้บอกว่า เบลดแบตเตอรี่เจนเนอเรชั่นที่ 2 จะมีขนาดเล็กลง น้ำหนักน้อยลง แต่ยังมีความทนทานดังเดิม โดยสื่อจีนคาดการณ์ว่า เบลดแบตเตอรี่เจนเนอเรชั่นใหม่นี้ จะทำให้รถยนต์ BYD ทุกรุ่นที่จำหน่าย มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อชาร์จ มากกว่า 1,000 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC และนั่นจะทำให้การแข่งขันกับเทคโนโลยี solid state สูสีมากขึ้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มมีการนำมาใช้แล้ว ในรถยนต์ของค่าย IM Motors ส่วนแบตเตอรี่แบบกึ่งโซลิตสเตท ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนของการผลิต โดยค่ายจีนอีกรายหนึ่ง อย่าง NIO
หากตัวเลขความหนาแน่นพลังงาน สามารถทำได้มากกว่า 190 วัตต์ชั่วโมง/กิโลกรัม แบตเตอรี่รุ่นนี้ของ BYD ก็จะกลายเป็นแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออฟอสเฟต ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในตลาด BYD มักจะอ้างเสมอว่า หนึ่งในข้อดีของเบลดแบตเตอรี่ ก็คือความปลอดภัยที่มีมากกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆ ที่มีการนำเสนอ ผ่านการทดสอบด้วยการเจาะด้วยเข็ม ที่หลายคนก็คงเคยได้เห็นกันไปแล้ว
การพัฒนาที่เพิ่มขึ้นของเบลดแบตเตอรี่ จะส่งผลทำให้รถยนต์ไฟฟ้า BYD มีราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะการที่สามารถทำราคา ได้ต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่ง BYD ต้องการเข้าไปชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับแรกๆ นอกจากนั้นแล้ว การที่ใช้พื้นที่ในการบรรจุแบตเตอรี่ที่น้อยลง ย่อมหมายถึงพื้นที่ใช้งาน ที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของ BYD ครั้งนี้ จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม ต่อวงการรถยนต์ไฟฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่า ย่อมส่งผลดีต่อผู้บริโภค ที่จะได้ใช้รถยนต์ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในราคาที่ต่ำลง ฉะนั้นใครที่วางแผนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจาก BYD อยู่แล้ว แต่ยังไม่เร่งรีบที่จะใช้งาน ก็อาจจะเป็นการดีกว่า ที่จะรอการเปิดตัวแบตเตอรี่ชนิดใหม่ ซึ่งจะทำให้รถยนต์รุ่นต่างๆที่จำหน่ายอยู่ มีการปรับลดราคาลงมา เหมือนอย่างที่ BYD มักจะทำให้เห็นไปแล้วในอดีต เพียงแต่เราหวังว่า การลดราคาครั้งนี้ จะมีมากกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการเปลี่ยนไปสู่เจนเนอเรชั่นใหม่ ของเบลดแบตเตอรี่