ยุค EV เต็มตัว! BYD รับบิ๊กออเดอร์ 100,000 คัน พร้อมส่งมอบรุ่น Atto3 ก่อนในปี 2022 นี้

เป็นการส่งสัญญาณการเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวอีกครั้ง เมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถเช่า อย่าง Sixt ลงนามในสัญญาสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจาก BYD มากกว่า 1 แสนคัน เพื่อให้บริการลูกค้าของบริษัทในประเทศแถบยุโรป และจะทำการรับมอบตั้งแต่ปีนี้ ไปจนถึงปี 2028 โดยในช่วงแรก จะทำการสั่งซื้อเป็นจำนวนหลายพันคัน พร้อมทำการรับมอบ ภายในปี 2022 นี้ โดย Sixt เปิดเผยว่า ในช่วงแรก จะมีการให้บริการรถยนต์ใหม่จาก BYD ในประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

การลงนามในข้อตกลงดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ไม่กี่สัปดาห์ก่อน คู่แข่งสำคัญอย่าง Hertz ได้ประกาศแผนการสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้า กว่า 175,000 คันจาก General Motors ภายในระยะเวลา 5 ปี โดย Hertz ยังได้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจาก Polestar และ Tesla อีกหลายพันคัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 25% ของรถยนต์ที่ให้บริการทั้งหมด ภายในปี 2024 นั่นหมายความว่า ในอนาคต การสั่งซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน มีแนวโน้มลดลงไป หรืออาจจะเป็นเพียงการซื้อเพื่อทดแทนของเดิมที่มีความจำเป็นเท่านั้น

ในขณะที่ Sixt เอง ก็มีเป้าหมายในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 70-90% สำหรับการบริการในยุโรป ภายในปี 2030 เรียกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันแทบจะสูญพันธุ์ไปจากการใช้งานในอนาคต โดยภายในสิ้นปี 2022 Sixt พร้อมใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าและรถ plug-in hybrid รวมกว่า 20 รุ่น จาก Audi Opel Renault BMW Tesla และล่าสุด BYD

ทางฝั่งของ BYD เอง ได้เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ Sixt ถือว่าเป็นครั้งแรกของบริษัท ที่มีลูกค้าเป็นบริษัทรถเช่าในยุโรป ซึ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทได้พยายามเข้ามาเจาะตลาดยุโรป เริ่มจากการเปิดตัวรถเอสยูวีรุ่น Tang ที่ประเทศนอร์เวย์ ในปี 2020 ในราคา 72,000 ยูโร หรือราว 2,660,000 บาท ตามมาด้วยรุ่น Atto3 ที่ทำตลาดอยู่ในเมืองไทยด้วย ในราคา 38,000 ยูโร หรือราว 1.4 ล้านบาท ซึ่งในช่วงแรก Atto3 จะเป็นรุ่นแรกที่ Sixt จะทำการสั่งซื้อก่อน ส่วนจะมีรุ่นอื่นๆด้วยหรือไม่นั้น ยังไม่มีการเปิดเผยในขณะนี้

ธุรกิจให้เช่ารถยนต์ ถือว่าเป็นลูกค้าองค์กรกลุ่มใหญ่ เพราะมักจะมีสาขาทั่วโลก หรือถ้าเป็นบริษัทท้องถิ่น ก็จะมีรถยนต์ที่ให้บริการเป็นจำนวนมาก ค่ายรถยนต์ที่ยังไม่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ออกมาป้อนตลาดได้ในขณะนี้ โดยเฉพาะค่ายยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นหลายราย อาจจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ ไปแบบต่อหน้าต่อตา จากการที่ต้องเห็นคู่แข่งจากจีน ยุโรป และอเมริกา รับการสั่งจองแต่ละครั้ง เป็นจำนวนหลายพันคัน ไปจนถึงแสนคัน สำหรับอีกหลายปีข้าง ถือว่าเป็นการปิดโอกาสการขาย ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไปโดยปริยาย และยิ่งถ้าหากรถยนต์ไฟฟ้า สามารถพิสูจน์ได้ถึงประสิทธิภาพที่ดี การดูแลรักษาที่น้อย ไม่ซับซ้อน นอกเหนือไปจากการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เชื่อว่าการเติบโตของตลาดนี้ จะยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิมแบบทวีคูณ ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งหากค่ายใด ยังไม่ปรับตัวไปสู่เทคโนโลยีใหม่ เชื่อว่า การรักษาที่ยืนในตลาด โดยเฉพาะในยุโรป จะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

[yourchannel video=”79dHRbHHw7I” autoplay=”1″ show_comments=”1″]