เปิดตัว All-New 2022 Honda HR-V eHEV โฉมใหม่ล่าสุด รุ่น RS EL E พร้อมชุดแต่ง Modulo

ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย เปิดตัว ออลนิว เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ พลังที่สมบูรณ์แบบของวันนี้ ที่พร้อมขับเคลื่อนชีวิตของคุณไปข้างหน้า ในทุกเส้นทาง

ฮอนด้า เอชอาร์-วี นับเป็นรถยนต์ที่สำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดเอสยูวีขนาดกลางในประเทศไทย และมีบทบาทในการขับเคลื่อนการเติบโตของเซกเมนต์ในปัจจุบัน อีกทั้งเติมเต็มความต้องการของตลาดเอสยูวีให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยจุดเด่นของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี เจเนอเรชันปัจจุบัน ที่ครบครันด้วยเอกลักษณ์ของยนตรกรรมอเนกประสงค์ในทุกมิติ ทั้งด้านดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมล้ำสมัย สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกสนาน และพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง รองรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน ครั้งนี้ ฮอนด้า เอชอาร์-วี เจเนอเรชันใหม่ พร้อมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ ให้กับวงการยานยนต์อีกครั้ง ด้วยการมอบคุณค่าใหม่ระดับพรีเมียมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทั้งดีไซน์ที่สปอร์ตล้ำสมัย โดดเด่นในทุกมุมมอง

เสริมความสปอร์ตขึ้นอีกขั้น กับรุ่น RS ในดีไซน์สไตล์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน และภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย มาพร้อมเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์กับเบาะนั่งที่ปรับพับ เพื่อเพิ่มพื้นที่การใช้งานได้ดั่งใจ มาพร้อมเทคโนโลยีระดับพรีเมียม ทั้งระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทั้งไลน์อัป อีกทั้งเทคโนโลยีการขับขี่และความปลอดภัย ได้แก่ ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย กับระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียม ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ครั้งแรกกับฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติ เมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close) พร้อมมอบพลังที่สมบูรณ์แบบของวันนี้ เพื่อขับเคลื่อนชีวิตของคุณไปข้างหน้า ในทุกเส้นทาง

ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ พัฒนาภายใต้แนวคิด “AMP UP Your Life” โดยจะเป็นยนตรกรรมที่ผสานทั้งฟังก์ชันการใช้งาน และสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม เพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและพาคุณไปค้นพบตัวตนใหม่ในฐานะของพาร์ตเนอร์ ซึ่งสะท้อนแนวคิดการพัฒนาผ่าน 3 ด้านหลักๆ ได้แก่

  1. Pleasure (Enjoyable) – มอบความสนุกสนาน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในทุกๆวันของชีวิต
  2. Confidence (Reliable) – มอบความมั่นใจในทุกเส้นทาง ทั้งผู้ขับขี่ และผู้ร่วมทาง
  3. Aesthetic (In Style) – รูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง โดดเด่นมีสไตล์ ดึงดูดทุกสายตา

    พลังจากดีไซน์ที่โดดเด่น สร้างตัวตนที่แตกต่าง
    ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Everyday AMP UP partner” ที่สะท้อนตัวตนของยนตรกรรมเอสยูวีได้อย่างชัดเจน โดยเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับและมอบความสะดวกสบายสูงสุด ทั้งในด้านของดีไซน์ที่ล้ำสมัย ดึงดูดทุกสายตา และทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม อีกทั้งสเปซภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง อเนกประสงค์ รองรับทุกรูปแบบการใช้งาน พร้อมมอบพลังใหม่ในทุกการเดินทาง

การออกแบบภายนอก
ดีไซน์ภายนอก โดดเด่นในสไตล์สปอร์ตคูเป้ ได้รับการออกแบบอย่างเรียบง่าย แต่ประณีตในทุกรายละเอียด ดึงดูดทุกสายตา ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ที่เชื่อมต่อกับไฟหน้า มอบความรู้สึกแข็งแกร่งและมีพลัง พร้อมด้วยการปรับตำแหน่งของเสา A ที่ช่วยให้กระโปรงหน้าดูลาดยาวยิ่งขึ้น ตอบรับกับการใช้เส้นสายในแนวนอน ที่ยาวต่อเนื่องจากไฟหน้า ไปจนถึงไฟท้าย มอบความรู้สึกสปอร์ตโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย อีกทั้งด้านหลัง มาพร้อมดีไซน์ท้ายลาด สไตล์ Fastback ที่ผสานการออกแบบเข้ากับหลักอากาศพลศาสตร์ไว้ได้อย่างลงตัว ช่วยให้ตัวรถสวยงาม และเฉียบคม

สมบูรณ์แบบในทุกมิติ
• กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ที่สะท้อนสไตล์ที่แตกต่างอย่างโดดเด่น โดยมาพร้อมสีเดียวกับตัวรถ (รุ่น e:HEV EL) และสีดำเงา (รุ่น e:HEV E)
• กันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่
• ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED Light Strip ที่เชื่อมต่อกับไฟเบรกเป็นเส้นแนวยาว อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น
• ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS)
• สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต
• เสาอากาศครีบฉลาม
• ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL)
• โลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นยนตรกรรมไฮบริด ได้อย่างชัดเจน


ครั้งแรกในโลกกับรุ่น RS ยกระดับความสปอร์ตพรีเมียมไปอีกขั้น ด้วยดีไซน์เอกซ์คลูซีฟรอบคัน
• โดดเด่นด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ RS
• สัญลักษณ์ AMP UP บนกันชนหน้าด้านล่าง สะท้อนพลังใหม่ที่แตกต่าง
• กันชนหน้า-หลัง พร้อมชายกันกระแทกด้านข้างสีดำแบบสปอร์ต ตกแต่งด้วยโครเมียม
• ไฟหน้าและไฟส่องสว่าง สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
• ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential
• ไฟท้ายแบบ LED Light Strip สี Smoke
• ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 18 นิ้ว
• เผยมุมมองใหม่ ด้วยหลังคากระจกแบบพาโนรามา (Panoramic Glass Roof)
• พิเศษยิ่งขึ้นกับสีภายนอก สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน สะท้อนความสปอร์ตไปอีกขั้น

การออกแบบภายใน
ภายในห้องโดยสาร ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกองค์ประกอบ โดยมุ่งเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง มอบพื้นที่ที่กว้างขวาง สะดวกสบายในทุกที่นั่ง และคงไว้ซึ่งอรรถประโยชน์ โดยบริเวณคอนโซลหน้า มีการใช้เส้นสายแนวนอน พร้อมผิวสัมผัสที่เรียบ ผนวกกับการออกแบบ ที่ให้แสงภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสาร ส่งผลให้ห้องโดยสารโปร่งโล่ง อีกทั้งมีการจัดวางเลย์เอาต์ และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้งานได้ง่าย โดยไม่ต้องละสายตาจากการขับขี่ มอบทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม สะดวกสบายในทุกการเดินทางในทุกที่นั่ง ด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Automatic Air Conditioning) ที่มาพร้อมระบบ Air Diffusion System โดยช่องปรับอากาศ ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ มอบทิศทางลมที่หมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระจายลมได้อย่างเหมาะสม ทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร พร้อมด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง (เฉพาะรุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS)

ภายในห้องโดยสารทุกรุ่นมาพร้อมเบาะหนังดีไซน์ใหม่สีดำ ที่ออกแบบให้โอบรับกับสรีระของผู้นั่งได้ดียิ่งขึ้น โดยในรุ่น RS มาพร้อมเบาะหนังสีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดงแบบสปอร์ต แป้นเบรกและแป้นคันเร่งสไตล์สปอร์ต พวงมาลัยสีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง

คงเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์ แยกพับแบบ 60:40 ที่สามารถปรับพับได้หลากหลาย เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้อย่างสูงสุด โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ ได้แก่
• Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย
• Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
• Tall Mode: ที่นับเป็นเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์อันโดดเด่นของ ฮอนด้า สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง ซึ่งมีเพียงฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่นเดียวในเซกเมนต์ ที่สามารถพับเบาะในโหมดนี้ได้

ตอบโจทย์สมาร์ตไลฟ์สไตล์ กับพลังที่เชื่อมต่อคุณกับรถยนต์ ให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกล้ำสมัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน
• ใหม่ ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติ เมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close) อำนวยความสะดวกขึ้นอีกขั้น เพียงสอดเท้าไปที่เซนเซอร์ บริเวณใต้กันชนด้านหลัง ระบบจะเปิดฝากระโปรงท้ายโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงกดสวิตช์ปิด พร้อมทั้งหยิบสัมภาระออกจากท้ายรถ และเดินออกห่างจากตัวรถ ระบบจะทำการปิดฝากระโปรงท้ายลงโดยอัตโนมัติ โดยขณะใช้งาน จะต้องมีกุญแจรีโมทอยู่กับตัว และอยู่ห่างจากตัวรถอย่างน้อย 1 เมตร (ในรุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS)
• ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
• มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว
• ช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS)
• อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
• ลำโพง 8 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV RS) ลำโพง 6 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV EL) และ ลำโพง 4 ตำแหน่ง (รุ่น e:HEV E)
• ไฟอ่านหนังสือด้านหลังแบบ LED เปิด-ปิดแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
• เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
• แผ่นกั้นห้องสัมภาระท้าย (เฉพาะรุ่น e:HEV RS)
• ช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 4 ช่อง ด้านหน้า 2 ช่อง และด้านหลัง 2 ช่อง (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) และช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า จำนวน 2 ช่อง (รุ่น e:HEV E และรุ่น e:HEV EL)
• พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง, ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มควบคุมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING

พลังความท้าทายที่ไร้ขีดจำกัด ที่ขับเคลื่อนชีวิตของคุณไปข้างหน้า
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ทุกรุ่นย่อย ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกัน ของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit – IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีน้ำหนักเบา และขนาดกะทัดรัด สามารถเก็บประจุไฟ และช่วยให้การชาร์จไฟ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งสามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่โดยอัตโนมัติ ในขณะขับขี่ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว มอบกำลังสูงสุดทั้งระบบ ได้ถึง 131 แรงม้า ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม ถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร โดยระบบ e:HEV มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมด ซึ่งระบบจะปรับเปลี่ยนโหมดให้เหมาะสมที่สุด ในทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด มอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ได้แก่
• โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อ ด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มอบอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยไม่ต้องรอรอบ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง โดยแบตเตอรี่ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความจุมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนรถ ในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ได้อย่างต่อเนื่อง
• โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) โดยระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้า ที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและทรงพลัง
• โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์ และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูง และมีแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่

เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง

โดยทุกรุ่นย่อย ยังมาพร้อมกับสวิตช์ฟังก์ชัน Drive Mode ที่ผู้ขับขี่ สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้อย่างง่ายดาย ตามความต้องการ ซึ่งมีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่
• ECON Mode – โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ ให้สัมพันธ์กับการขับขี่ เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ตามรูปแบบการขับขี่
• Normal Mode – โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานทั่วไป
• Sport Mode – โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ ให้พร้อมตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้น เพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ที่เหมาะกับการใช้งานบนถนน ในทุกสภาวะการขับขี่ ให้ทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ ควบคู่ไปกับความปลอดภัย

พลังใหม่ ที่พร้อมพาคุณก้าวข้ามทุกอุปสรรค ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและเทคโนโลยีการขับขี่ระดับพรีเมียม
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ทำงานร่วมกับกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้
• ระบบเตือนการชน พร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็ว เมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะที่ไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือน ผ่านหน้าจอแสดงข้อมูล และสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัย ในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชน หรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
กล้องด้านหน้า จะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถ ให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่
• ระบบเตือนและช่วยควบคุม เมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบจะใช้กล้องด้านหน้า ในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่า รถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือน ที่หน้าจอแสดงข้อมูล พร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถ เริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยง ที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร
• ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูง เมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำ เมื่อตรวจจับได้ว่า มีรถสวนทาง หรือมีรถยนต์ด้านหน้า
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า ที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็ว ให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัย หรือเหยียบคันเร่ง
• ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
ระบบจะตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูล และสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า

พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย และเทคโนโลยีด้านการขับขี่ระดับพรีเมียม ได้แก่
• ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย กับระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบที่ทำงานเพื่อช่วยควบคุมคันเร่งและเบรก เพื่อรักษาความเร็วได้อย่างเหมาะสม เมื่อขับรถลงจากทางลาดชัน โดยระบบจะทำงาน ที่ความเร็วต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (กม./ชม.)
• ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
• ระบบ Auto Brake Hold ที่ได้รับการพัฒนา เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยหากกดสวิตช์เปิดการทำงานของระบบไว้ ระบบจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่อเหยียบเบรกหยุดรถ และระบบจะปล่อยเบรก เมื่อผู้ขับขี่เหยียบคันเร่ง โดยระบบจะรักษาการเปิดการทำงานไว้อย่างอัตโนมัติ โดยที่ผู้ขับขี่ ไม่จำเป็นจะต้องกดสวิตช์ทุกครั้ง เพื่อใช้งาน
• ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
• ระบบล็อกรถอัตโนมัติ เมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) สามารถล็อกรถอัตโนมัติ เมื่อเดินออกห่างจากตัวรถในระยะ 1.5 เมตรขึ้นไป
• ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง
• ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง
• ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่
• พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมอัตราทดเกียร์แบบแปรผัน
• กล้องส่องภาพด้านหลัง ปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera)
• ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
• ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) บนพื้นถนนที่ลื่น
• ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA)
• ระบบช่วยการออกตัว ขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
• สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal – ESS)

นอกจากนี้ ยังมาพร้อม ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสาร ระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ได้แก่

  1. My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่ และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือน กำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
  2. Car Log ข้อมูลการขับขี่ จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และบันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เป็นต้น
  3. Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง
  • ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต จากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
  1. Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันที ผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า เพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉิน ที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
  2. Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
  3. Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อก และปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิ ของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และสั่งการดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งาน จะต้องกำหนดรหัสส่วนตัว เป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้ง ก่อนการใช้งาน
  4. Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่า การแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
  5. Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผลบนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งาน จะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

รุ่นและสี
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่
• รุ่น e:HEV RS
• รุ่น e:HEV EL
• รุ่น e:HEV E
มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีใหม่ สีขาวมุกพรีเมียมซันไลท์ และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) พร้อมด้วยสีขาวมุกแพลทินัม และ สีดำมุกคริสตัล ในทุกรุ่นย่อย พิเศษสำหรับสีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน เฉพาะรุ่น e:HEV RS

ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง
ยกระดับความสปอร์ตอย่างมีสไตล์ ด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) โดยมีให้เลือกทั้งไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่ง เช่น กระจังหน้า ชุดสเกิร์ตหน้า ชุดตกแต่งกันชนหลัง ชุดตกแต่งประตูข้าง คิ้วตกแต่งไฟตัดหมอก ชุดไฟตัดหมอกหน้า LED คิ้วบันไดสเตนเลส LED ปลอกท่อไอเสีย ม่านบังแดดผู้โดยสารตอนหลัง หรือในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคัน ได้แก่ แพ็กเกจ Modulo Urban Package ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า ชุดตกแต่งกันชนหลัง และชุดตกแต่งประตูข้าง

หมายเหตุ: อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น

สำหรับราคาจำหราคาจำหน่าย All-New 2022 Honda HRV eHEV โฉมใหม่ รอประกาศอย่างเป็นทางการ

2022 Honda HRV eHEV รุ่น RS ราคาโดยประมาณ 1,200,000 บาท

2022 Honda HRV eHEV รุ่น EL ราคาโดยประมาณ 1,100,000 บาท

2022 Honda HRV eHEV รุ่น E ราคาโดยประมาณ 990,000 บาท