ก่อนที่ MG ตัดสินใจทำตลาด Extender เชื่อว่าหลายฝ่าย ต่างจับตามองว่า การมาถึงของรถกระบะสายพันธุ์จีน จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดรถกระบะของไทย ที่มีค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น ครองตลาดอยู่แบบเบ็ดเสร็จ จะมีก็เพียงแค่ Ford ที่พอขึ้นมาสอดแทรกได้ ในขณะที่ค่ายรถยนต์สัญชาติอเมริกัน อย่าง Chevrolet ตัดสินใจถอนตัวออกจากตลาดไป จากเหตุผลของนโยบาย ที่เน้นทำตลาด เฉพาะประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยซ้ายเป็นหลัก แต่หลังจากที่ MG ได้ทำตลาด Extender ไปแล้ว ราว 2-3 เดือน สิ่งที่เห็น ถือว่าผิดความคาดหมายของคนในวงการรถยนต์ไปมาก แม้แต่ MG เอง ก็คงไม่คิดว่า ยอดขายที่ทำได้จริง จะต่ำกว่าเป้าหมายไปมาก ซึ่งจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ แม้ว่าจะมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ไปแล้วก็ตาม นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เรา ยังไม่เห็นการเปิดตัวรถกระบะของ GWM ในเมืองไทย จากที่เคยมีข่าวว่า รถกระบะภายใต้แบรนด์ Great Wall จะเป็นหนึ่งในรถยนต์ ที่จะมีการเปิดตัวเป็นรุ่นแรกๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆที่เห็น อาจจะไม่ได้หมายความว่า ตลาดรถกระบะของไทย จะไม่มีที่ยืน ให้กับค่ายรถยนต์จากจีน
สื่อยานยนต์ชื่อดังของออสเตรเลีย อย่าง Carsguide วิเคราะห์ว่า รถกระบะปิกอัพจากจีน กำลังจะกลายเป็นทางเลือก ของกลุ่มผู้ใช้รถกระบะในออสเตรเลียมากขึ้น ซึ่งประเทศนี้ ถือว่าเป็นตลาดส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของไทย และเป็นตลาดรถกระบะที่ใหญ่ที่สุดของไทยเช่นกัน โดยมี Toyota Hilux และ Ford Ranger เป็นรถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศ มานานหลายปี และรถกระบะที่จำหน่ายที่นั่น ก็ถือว่าอยู่ในระดับพรีเมี่ยม ที่ต้องมาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสมรรถนะที่ดีเยี่ยมเป็นหลัก การที่รถยนต์รุ่นใดรุ่นหนึ่ง ประสบความสำเร็จในตลาดนี้ได้ ก็น่าจะช่วยรับประกันได้ในระดับหนึ่งว่า รถยนต์รุ่นดังกล่าว น่าจะทำได้ดีไม่แพ้กัน หากมีการจำหน่ายในไทย แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ ยังนิยมรถกระบะที่เน้นการใช้งานเป็นหลัก และยังอ่อนไหวในเรื่องราคาจำหน่าย
ในเมืองไทย ชื่อของ Great Wall Motor หรือ GWM อาจจะยังใหม่ แต่ในออสเตรเลียแล้ว GWM ทำตลาดรถกระบะมานานหลายปี ภายใต้ชื่อรุ่น Steed ที่ต้องถือว่า ยังเป็นรถกระบะระดับล่าง มีพละกำลังไม่สูงมาก ที่ 148 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร จากขุมพลังดีเซลเทอร์โบ ความจุ 2.0 ลิตร และได้รับเรตติ้งทางด้านความปลอดภัยจาก ANCAP เพียง 2 ดาวเท่านั้น หรือยังไม่สามารถอยู่ในระดับที่เทียบเท่า กับรถกระบะจากค่ายญี่ปุ่น หรืออเมริกันได้เลย แต่หลังจากที่ GWM ได้เปิดตัว Cannon ในปี 2021 มุมมองในเรื่องนี้ เริ่มเปลี่ยนไป เพราะในด้านสมรรถนะ GWM ได้แนะนำรถกระบะที่ให้กำลังสูงสุด ที่ 161 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ที่สามารถลากจูงโหลด ที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 3,000 กิโลกรัม บรรทุกได้มากกว่า 1,000 กิโลกรัม มาพร้อมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยต่างๆ เหมือนกับเจ้าตลาดที่นั่น การเข้ามาซื้อโรงงานของ Chevrolet ในเมืองไทย เพื่อผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา ก็เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่น ที่จะเข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้อย่างจริงจัง
รถยนต์จากจีนอีกหนึ่งค่ายก็คือ LDV จาก SAIC Motor ที่ทำตลาด LDV T60 ในออสเตรเลีย และบางประเทศ ซึ่งก็คือ MG Extender ภายใต้อีกแบรนด์หนึ่งนั่นเอง ซึ่งเราได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับ T60 รุ่นใหม่ ที่กำลังจะกลายเป็นรถกระบะขนาด 1 ตัน เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ที่ทรงพลังที่สุดในออสเตรเลีย ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะมาพร้อมช่วงล่าง ที่มีการปรับแต่งพิเศษอีกด้วย ซึ่งขุมพลังดีเซลทวินเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตรใหม่ จะให้พละกำลังสูงสุด ถึง 215 แรงม้า ทรงพลังกว่าทั้ง Toyota Hilux และ Ford Ranger แต่มีแรงบิดสูงสุดต่ำกว่าเล็กน้อย ที่ 480 นิวตันเมตร
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง ที่ Carsguide ไม่ได้พูดถึง ก็คือทางเลือกใหม่ อย่างรถกระบะไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ที่ในเมืองไทย ทั้งสองค่าย ถือความได้เปรียบคู่แข่ง ทั้งในด้านเทคโนโลยี และภาษีนำเข้า แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ทั้งบริษัทลังเล ก็คือช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการแนะนำเข้าสู่ตลาด ซึ่งในตอนนี้ ต้องถือว่า อาจจะเร็วเกินไปสำหรับเมืองไทย และมีความเสี่ยงสูง เมื่อเทียบกับการทำตลาดรถกระบะเครื่องยนต์สันดาปภายใน
การอัพเกรดคุณภาพ และสมรรถนะของรถกระบะที่จำหน่าย ของค่ายรถยนต์จากจีนทั้งสอง ที่มีการทำตลาดในไทยด้วยเข่นกัน ทำให้สื่อยานยนต์จากแดนจิงโจ้รายนี้มองว่า ในอนาคตอันใกล้ รถกระบะจากทั้ง GWM และ LDV น่าจะสามารถขึ้นมาเป็นทางเลือกในอันดับต้นๆของออสเตรเลีย หรืออย่างน้อย ก็ไม่น้อยหน้ารถกระบะยอดนิยม อย่าง Toyota Hilux Ford Ranger Isuzu D-MAX Mitsubishi Triton Nissan Navara รวมถึง Mazda BT-50 ซึ่งรถกระบะรุ่นต่างๆเหล่านี้ ก็มีการทำตลาดในเมืองไทยด้วยเช่นกัน คุณคิดว่า รถกระบะจากจีน จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นทางเลือกในอันดับต้นๆของไทย ในอนาคตหรือไม่ โดยเฉพาะหลังจากการเข้ามาบุกเบิกตลาดรถกระบะไฟฟ้า ที่เจ้าตลาดของไทย และคู่แข่งรายอื่นๆ ยังไม่มีความได้เปรียบในเรื่องนี้