รีวิว 2020 Toyota C-HR รุ่นปรับโฉมใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ ก่อนเข้าไทย

เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Toyota ได้เปิดตัว C-HR รุ่นไมเนอร์เชนจ์ปี 2020 เป็นครั้งแรก แต่ข้อมูลและภาพที่เปิดเผยออกมาในเบื้องต้น ค่อนข้างจะมีอยู่อย่างจำกัด หลังจากนั้น Toyota ก็เดินหน้าเปิดตัว C-HR ใหม่ ในยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักร ที่เรากำลังจะนำเสนออยู่ในขณะนี้ โดยครั้งนี้ เราจะได้ชมกันแบบเต็มตาว่า C-HR รุ่นไมเนอร์เชนจ์ มีการเปลี่ยนแปลงในด้านรูปโฉม และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามา ในส่วนใดบ้าง แม้ว่ารายละเอียดทางด้านเทคนิค อาจจะแตกต่างไปจากรุ่นไมเนอร์เชนจ์เวอร์ชั่นของไทย ที่จะมีจำหน่ายในอนาคต ไปบ้างก็ตาม

ในสหราชอาณาจักร Toyota จะทำตลาด C-HR ใหม่ ด้วยรุ่นย่อยที่ใช้ขุมพลังไฮบริดทั้งหมด ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ และขนาดความจุ 2.0 ลิตร รุ่นใหม่ ใน 4 รุ่นย่อย คือ Icon, Design, Excel และ Dynamic โดยจะมีฟีเจอร์เชื่อมต่อ smartphone ผ่านทาง Apple CarPlay™ และ Android Auto™ เป็นฟีเจอร์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย และมีรุ่นพิเศษ ในตัวถังสีส้มใหม่ Orange Edition เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่จะมีการผลิตออกมาจำหน่าย เพียง 500 คันเท่านั้น สำหรับราคาเริ่มต้นของ C-HR ใหม่ ในสหราชอาณาจักร จะอยู่ที่ 25,625 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ประมาณ 1,002,000 บาท

Toyota C-HR เริ่มมีการเปิดตัวในอังกฤษ เมื่อปี 2016 และกลายเป็นรถยนต์ รุ่นที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งในประเทศ โดย C-HR ใหม่ ได้ดำเนินกลยุทธ์ตามรอย Corolla ด้วยการใช้เทคโนโลยีไฮบริด 2 ทางเลือก เป็นจุดขาย

สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า เป็นบล็อคเดิมที่มีจำหน่ายในรุ่นก่อน แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนแบบแรงดันสูง และชิ้นส่วนต่างๆของระบบไฮบริด ก็มีขนาดเล็กลง น้ำหนักน้อยลง แต่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทำให้อัตราการปล่อยมลพิษต่ำสุด อยู่ที่เพียง 86 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC

ส่วนเครื่องยนต์เบนซินความจุ 2.0 ลิตร บล็อคใหม่ ให้กำลังสูงสุด 182 แรงม้า มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพียง 92 กรัม/กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC และมีตัวเลขประสิทธิภาพทางความร้อนสูงสุด ที่ 41% ถือว่าสูงที่สุดในโลก สำหรับเครื่องยนต์ที่มีการผลิตออกมาในเชิงพาณิชย์ ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกหยดที่ถูกเผาไหม้ เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากเรื่องของประสิทธิภาพเครื่องยนต์แล้ว C-HR รุ่นนี้ ยังได้รับการปรับปรุงในเรื่องของระบบกันสะเทือน และการป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก เข้าสู่ห้องโดยสาร

Toyota C-HR ใหม่ ยังมาพร้อมระบบ infotainment และเทคโนโลยีเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสาร ที่ทันสมัยที่สุดของบริษัท โดยรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Apple CarPlay™ และ Android Auto™ นอกจากนั้น ระบบนำทางยังมาพร้อมระบบแผนที่ ที่ได้รับการอัพเดทโดยอัตโนมัติ เวอร์ชั่นล่าสุด เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย โดยมาพร้อมการบริการอัพเดทอัตโนมัติ เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งจะมีการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ในทุก 6 เดือน

สำหรับรุ่นพิเศษ Orange Edition C-HR รุ่นนี้ จะใช้พื้นฐานจากรุ่นย่อย Excel มาพร้อมตัวถังสีส้ม Scorched Orange ล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว หลังคาสีดำ โดยมีการทดแทนชุดเครื่องเสียงเดิม ในรุ่น Excel ไปเป็นเครื่องเสียงระดับพรีเมี่ยม จาก JBL ส่วนขุมพลังเป็นระบบไฮบริดเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร โดยจะมีการผลิตออกมาจำหน่ายเพียง 500 คันเท่านั้น

ในสหราชอาณาจักร Toyota จะทำตลาด C-HR ใหม่ ใน 4 รุ่นย่อยดังนี้

รุ่นเริ่มต้น Icon จะมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว กล้องมองถอยหลัง ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone ระบบมัลติมีเดีย พร้อมหน้าจอระบบสัมผัสรุ่นใหม่ รองรับ ทั้ง Apple CarPlay™ และ Android Auto™ ไฟหน้าแบบ LED reflector และระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense โดยจะมีเพียงขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร เท่านั้น ในราคา 25,625 ปอนด์ หรือ 1,002,000 บาท

รุ่นต่อมาคือ รุ่น Design ที่ล้ออัลลอยมีขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นขอบ 18 นิ้ว มาพร้อมกระจกหลังแบบ privacy คอนโซลหน้า สีเปียโนแบล็ค ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ระบบโซน่าร์ช่วยจอดอัจฉริยะ ที่มาพร้อมระบบเบรคอัตโนมัติและเซนเซอร์หลังช่วยจอด กระจกมองหลัง ปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ เบาะนั่งคู่หน้า มาพร้อมระบบทำความอุ่นและระบบปรับดันหลังไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีระบบนำทาง ระบบ smart entry กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า มาพร้อมระบบทำความอุ่น และระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ในราคาเริ่มต้น 28,005 ปอนด์หรือ 1,094,000 บาท

รุ่น Excel จะมาพร้อมล้ออัลลอยเฉพาะรุ่น ขนาด 18 นิ้ว และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่น Design เช่น พวงมาลัย พร้อมระบบทำความอุ่น เบาะนั่งหุ้มหนัง เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า ระบบเตือนจุดอับสายตาข้างตัวรถ ระบบเตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง ที่มาพร้อมระบบเบรคอัตโนมัติ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Adaptive LED ไฟตัดหมอก LED ไฟส่องพื้น ใต้กระจกมองข้าง ในราคา 30,110 ปอนด์ หรือประมาณ 1,176,000 บาท

และรุ่นสุดท้าย รุ่น Dynamic จะมาพร้อมล้ออัลลอยเฉพาะรุ่นเช่นกัน ขนาด 18 นิ้ว โดยมีฟีเจอร์สำคัญต่างๆ เช่น ระบบเตือนจุดอับสายตาข้างตัวรถ ระบบเตือนจุดอับสายตา ขณะถอยหลัง ที่มาพร้อมระบบเบรคอัตโนมัติ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Adaptive LED ไฟตัดหมอก LED ไฟส่องพื้นใต้กระจกมองข้าง ตัวถังสีเมทัลลิค หลังคาสีดำแบบทูโทน ในราคาเริ่มต้น 30,250 ปอนด์ หรือ 1,180,000 บาท

สำหรับรุ่นพิเศษ Orange Edition ที่มีเพียงขุมพลังเดียว คือ เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 2.0 ลิตร มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 32,595 ปอนด์ หรือประมาณ 1,273,000 บาท

Leave a Reply