Mazda เล็งเดินสายการผลิต CX-30 ในไทย เปิดตัวต้นปี 2020

สร้างความฮือฮาไปไม่น้อย เมื่อ Mazda เปิดตัวรถ compact suv รุ่นใหม่ อย่าง CX-30 ที่ถูกวางตำแหน่งทางการตลาด ให้อยู่ระหว่างรุ่น CX-3 และ CX-5 ที่ไม่เพียงเป็นการสร้างเซอร์ไพรซ์ ด้วยการแตกรุ่นย่อยออกมาให้ใกล้เคียงกันแล้ว การใช้ชื่อรุ่นที่มีตัวเลขท้าย 2 หลัก อย่าง 30 ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า จะมีไลน์อัพใหม่ ในชื่อรุ่นที่มีตัวเลข 2 หลักแบบเดียวกันนี้ ตามออกมาอีกหรือไม่ หลังจากที่ได้ไอเดียชื่อรุ่น มาจากรถกระบะ BT-50 และไม่สามารถใช้ชื่อรุ่นว่า CX-4 จากการที่มีการเปิดตัวไปแล้ว และทำตลาดเฉพาะในประเทศจีน

ล่าสุดมีแหล่งข่าวแจ้งว่า Mazda ประเทศไทย เตรียมเดินสายการผลิตรถรุ่นนี้ ที่โรงงาน Auto Alliance จังหวัดระยอง ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกด้วย ซึ่งถ้าหากข้อมูลนี้เป็นจริง คาดว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัว CX-30 ในเมืองไทยภายในต้นปี 2020 หรือปีหน้า เพราะรถรุ่นนี้ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งใน global model ที่จะมีการทำตลาดทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การที่ผู้บริหาร Mazda ได้เคยเปิดเผยเมื่อหลายเดือนก่อนว่า ในต้นปี 2020 บริษัทมีแผนในการเปิดตัว CX-3 โฉมใหม่ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า จะมีการทำตลาดรถทั้งสองรุ่น ควบคู่ไปด้วยกันหรือไม่ หรือ Mazda เปลี่ยนแผน ที่จะทำตลาดเฉพาะ CX-30 แทน เพราะปีงบประมาณที่ผ่านมา CX-3 มียอดขายที่ตกลงถึง 17% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นรุ่นรถยนต์ในไลน์อัพทั้งหมด ที่มีการเติบโตลดลงมากที่สุด

เราลองมาทำความรู้จัก Mazda CX-30 อีกครั้ง หลังจากที่ล่าสุด มีการเปิดเผยข้อมูล และแผนการทำตลาดในยุโรป ในอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้

อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้น Mazda วางตำแหน่งให้ CX-30 อยู่ระหว่าง CX-3 และ CX-5 ด้วยมิติตัวถังดังนี้ ยาว 4395 มม กว้าง 1795 มม และสูง 1540 มม ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2655 มม โดยใช้แพลตฟอร์ม Skyactiv-Vehicle Architecture ร่วมกับ Mazda3

ในด้านรูปโฉม ก็ได้รับอิทธิพลมาจาก Mazda3 hatchback ด้วยเช่นกัน แต่สร้างความแตกต่างด้วยการใช้เสา c pillar ที่มีขนาดบางกว่า ระยะจากพื้นถึงใต้ท้องรถ ที่มีมากกว่า และมีการตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ ที่ซุ้มล้อ และชายล่างรอบตัวรถ

ห้องโดยสารภายใน ก็ถูกถอดแบบออกมาด้วยเช่นเดียวกัน มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ Mazda Connect ที่ใช้หน้าจอแสดงผลขนาด 8.8 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทาง และรองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto

CX-30 ยังมีพื้นที่บริเวณห้องโดยสารตอนหน้า ใกล้เคียงกับรุ่น CX-5 ในขณะที่ด้านหลัง มีพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะเหลือเฟือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาห้องโดยสารคับแคบ ของ CX-3 ได้ตรงจุด โดยมีพื้นที่จุสัมภาระถึง 15.1 ลูกบาศก์ฟุต มากกว่า Mazda3 hatchback ถึง 2.3 ลูกบาศก์ฟุต โดยสามารถวางรถเข็นเด็กเล็กขนาดใหญ่และกระเป๋าเดินทางอีก 1 ใบได้สบาย

ในยุโรป Mazda CX-30 จะมามีทั้งขุมพลัง Skyactiv-G, Skyactiv-D และ Skyactiv-X จับคู่กับเกียร์ธรรมดา Skyactiv-MT 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive 6 สปีด

โดยเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G แบบ NA 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้าที่ 6000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบ/นาที มาพร้อมระบบมายด์ไฮบริด Mazda M Hybrid ขนาด 24 โวลท์ ที่มาพร้อมระบบตัดการทำงานลูกสูบอัตโนมัติ ที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง โดยให้ตัวเลขอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ 18.87 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ 141 กรัม/กิโลเมตร

โดยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ Skyactiv-D ความจุ 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้าที่ 4000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรที่ 1600-2600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันมากกว่า ด้วยตัวเลขการบริโภคน้ำมันที่ 24.39 กิโลเมตร/ลิตร โดยมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ ที่ 135 กรัม/กิโลเมตร

สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-X ความจุ 2.0 ลิตร ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Spark Controlled Compression Ignition หรือ SPCCI ซึ่งจะทำงานควบคู่กับระบบมายด์ไฮบริด Mazda M Hybrid ด้วยเช่นกัน ให้อัตราการบริโภคน้ำมันที่ดี และแรงบิดที่สูง เหมือนเครื่องยนต์ดีเซล แต่ให้การตอบสนองและความเร็วรอบที่สูง ในแบบเครื่องยนต์เบนซิน และแม้ว่า Mazda ยังไม่เปิดเผยตัวเลขด้านสมรรถนะ ของ CX-30 Skyactiv-X แต่คาดว่าจะไม่แตกต่างไปจากตัวเลขของ Mazda3 Skyactiv-X คือให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 224 นิวตันเมตร โดยทุกรุ่นเครื่องยนต์ จะมีทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ i-Activ AWD ที่มาพร้อมระบบ G-Vectoring Control

ในด้านระบบความปลอดภัย CX-30 จะมาพร้อมระบบ i-Activsense ที่มีฟีเจอร์มาตรฐานต่างๆมาให้ดังนี้ ระบบช่วยเบรคอัจฉริยะ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ระบบเตือนจุดอับสายตา ระบบเตือน เมื่อมีรถคันอื่นเข้ามาขณะถอย ระบบเตือนการเปลี่ยนเลน ระบบช่วยควบคุมรถ ให้อยู่ในเลน ระบบช่วยอ่านป้ายจราจร ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ ระบบเตือน เมื่อผู้ขับเหนื่อยล้า และระบบ adaptive cruise control

และถ้าหากมีการทำตลาด CX-30 ในเมืองไทย ก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่า จะมีมาครบ เหมือนกับที่มีในตลาดยุโรปหรือไม่ และแน่นอนว่า การมาถึงของ Mazda CX-30 ในเมืองไทย น่าจะสร้างแรงกระเพื่้อมให้กับตลาดรถ compact SUV อย่างไม่ต้องสงสัย

Leave a Reply