รถน้ำมันส่อลำบาก เมื่อ EV จีน-เวียดนามยึดตลาดดาวรุ่ง ไทยยังเบอร์ 1 ในอาเซียน

อนาคตรถยนต์ใช้น้ำมันน่าเป็นห่วง เมื่อตลาดอาเซียน ยอดขายหดตัวลงอีก 7% รถยนต์ไฟฟ้าจีนครองส่วนตลาดมากกว่า 70% ไทยยังเป็นเบอร์ 1 ของภูมิภาค เวียดนามมาแรง หนุน Vinfast ขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของตลาด EV อาเซียน

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพุ่งสูงขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำโดย byd จากประเทศจีน ตามมาด้วยวินฟาสจากเวียดนาม กินส่วนแบ่งทางการตลาดของ รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ครองตลาดมาโดยตลอดโดยบริษัท รถยนต์จากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จากการรายงานของเคาน์เตอร์พอยท์รีเสิร์ช บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยทางการตลาด

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ในภูมิภาคนี้ เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ในไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ยอดขายของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ลดลงถึง 7% อันเนื่องมาจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ครองตลาดรถยนต์น้ำมันมาแต่เดิม มีความล่าช้าในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์จากจีน เริ่มเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ โดยมากกว่า 70% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นของแบรนด์จีน นำโดย byd โดยยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ถึง 75% ถูกผลิตโดยผู้ผลิตจากจีน ซึ่งประเทศไทย ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่บริษัทรถยนต์จากจีนได้ลงทุนไปกว่า 1,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นที่นั่น เป็นผู้นำของตลาด โดยประเทศที่เป็นฐานการผลิตของ ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นรายใหญ่ ทั้งโตโยต้า และฮอนด้า มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 55% จากยอดขายทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไตรมาสแรกของปี โดยมีอัตราการเติบโต ถึง 44% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนประเทศเวียดนาม ที่มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ โดยมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นมากกว่า 400% ทำให้ เวียดนาม มีส่วนแบ่งการตลาดในภูมิภาคเกือบ 17%

ทั่วทั้งภูมิภาคนี้ BYD จากประเทศจีน นำมาเป็นอันดับ 1 ด้วยยอดขาย ถึง 47% ตามมาด้วย Vinfast จากประเทศเวียดนาม ถือว่า BYD ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้ แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังถือว่าเป็นตลาดที่เล็กเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ในขณะที่ tesla จากอเมริกา พบว่า มีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง 2% เหลือเพียง 4% ในไตรมาสแรก ทั้งๆที่ยอดขายมีการเติบโตถึง 37% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รัฐบาลในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทยและอินโดนีเซีย ได้ออกมาตรการกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์จากจีน ได้ตอบสนองในเรื่องนี้ ด้วยการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเอื้อมถึงได้ง่าย ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นภูมิภาค ที่บริษัทจากจีนเข้ามาขยายธุรกิจอย่างจริงจัง

จากข้อมูลล่าสุดนี้ ดูเหมือนว่า การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียนเป็นไปในทิศทางเดียวกับของเมืองไทย ที่มีค่ายรถยนต์จากจีนเป็นผู้นำตลาด ในขณะที่รถยนต์น้ำมันได้รับความนิยมน้อยลง จนเริ่มส่งผลกับผู้เล่นรายเก่าบางราย จนทำให้บางบริษัทตัดสินใจปิดโรงงานหรือมีแผนยุติสายการผลิตในอนาคต ตามที่มีข่าวไปแล้ว และไทยเองก็ยังถือว่าเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่าครึ่งของภูมิภาค ลดลงจากหลายปีก่อนซึ่งมีสัดส่วนอยู่เกือบ 80% ที่น่าสนใจก็คือ ตลาดเวียดนาม รถยนต์ไฟฟ้ามีการเติบโตที่สูงมาก และมีส่วนแบ่งตลาดในอาเซียนเเกือบ 1 ใน 5 เลยทีเดียว อันเนื่องมาจาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่รวดเร็ว และแบรนด์รถยนต์ประจำชาติอย่าง Vinfast เข้ามาทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง จนสามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ได้เป็นรองแค่เพียง BYD เท่านั้น เรียกว่าเกินความคาดหมายของหลายคน เพราะในเมืองไทย Vinfast ยังถือว่าเป็นแบรนด์ใหม่ ที่คนไทยยังไม่มั่นใจในหลายๆด้าน โดยเฉพาะบริการหลังการขาย หลังจากที่เคยมีข่าวว่าบริษัทขาดทุนสะสมเป็นเงินก้อนโต แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดุดันและเน้นเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด จึงทำให้ vinfast สามารถขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียนได้ ซึ่งรถยนต์ที่จำหน่ายออกไปจำนวนไม่น้อยถูกนำไปใช้งานเป็นแท็กซี่ และอย่างที่ทราบกัน กลุ่มธุรกิจที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ก็คือค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น หรือผู้เล่นรายเก่าๆที่เน้นจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมันเป็นหลัก การถดถอยหรือลดลงของส่วนแบ่งทางการตลาดในอาเซียน อาจจะส่งผล ที่ตามมา เหมือนกับที่เกิดขึ้นในเมืองไทยด้วย เพราะไทยเองก็มีการส่งออกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ไปยังประเทศต่างๆในภูมิภาคด้วย