TOYOTA-NISSAN รับข่าวร้าย! เมื่อ MG / SAIC เตรียมเปิดตัวอาวุธเด็ดเขย่าวงการ EV พฤษภาคมนี้

Toyota Nissan ฝันร้ายต่อเนื่อง เมื่อค่ายยักษ์ใหญ่จากจีน เดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก่อนใคร เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ solid-state ในเดือนพฤษภาคมนี้ ชาร์จเต็มทีเดียว วิ่งได้ไกลสูงสุด 800-1,000 กิโลเมตร

การรวมตัวกันของค่ายรถยนต์จีนในการพัฒนาแบตเตอรี่แบบ solid-state โดยมีรัฐบาลจีนหนุนหลัง น่าจะสร้างความกังวลใจให้กับคู่แข่งในต่างประเทศไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยุโรป หรืออเมริกา เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ถือว่าเป็นอนาคตของเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าก็ว่าได้ แม้ว่าไม่มีใครบอกได้ว่า ในอนาคต จะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า เข้ามาทดแทนได้เร็วแค่ไหน ในขณะที่ระบบขับเคลื่อนฟิวเซลล์ไฮโดรเจน ก็กำลังประสบกับปัญหาการใช้งาน ในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา ดังเห็นได้จากการที่บริษัทเชลล์ ได้ทำการปิดสถานีเติมไฮโดรเจน 6 แห่งจากทั้งหมด 7 แห่งในรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างถาวร และยกเลิกแผนสร้าง 48 สถานีใหม่ตามไปด้วย โดยจะหันไปลงทุนในสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแทน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีกับบริษัทรถยนต์ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีชนิดนี้อยู่ โดยเฉพาะ Toyota ที่พยายามชูจุดขายของเทคโนโลยีฟิวเซลล์ไฮโดรเจนมาโดยตลอด และมองว่ามันคือเทคโนโลยีแห่งอนาคต และเหนือกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Toyota จะไม่เห็นด้วยกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ตามที่ได้ถูกสะท้อนออกมาจากคำพูดของประธานบริษัท ที่มองว่าส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ Toyota ก็พยายามหาทางเลือกใหม่ที่เป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ดีกว่า ซึ่งความหวังสูงสุดในตอนนี้ ก็คือ แบตเตอรี่ solid state ที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่ง Nissan ก็เป็นอีกค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น ที่เตรียมนำแบตเตอรี่ชนิดนี้มาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยเช่นกัน แต่ล่าสุด ดูเหมือนจะมีข่าวร้ายสำหรับทั้ง Toyota และ Nissan เมื่อค่ายรถยนต์จีน กำลังจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ solid state ที่ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด ถึง 1,000 กิโลเมตร/ชาร์จ ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้

IM Motors บริษัทในเครือเดียวกันกับ MG เตรียมเปิดตัว IM L6 ซีดานไฟฟ้า ที่ใช้แบตเตอรี่ solid state ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ เหมือนเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของวงการยานยนต์ไฟฟ้า หลังจากที่ก่อนหน้า มีบางค่ายรถยนต์ ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้แบตเตอรี่แบบกึ่งโซลิตสเตทไปแล้ว โดย IM จะเริ่มจำหน่าย L6 ในยุโรปและอเมริกาใต้ ภายในปีหน้า 2025 หลังจากที่เพิ่งมีข่าวว่า SAIC บริษัทแม่ จะทำการรีแบรนด์ IM ไปเป็น MG ใน 2 ตลาดดังกล่าว

IM L6 ที่ต่อไปจะต้องเรียกว่า MG L6 มีตัวถังที่ใหญ่กว่า Toyota Camry ในทุกมิติ คือมีความยาว 4931 มม กว้าง 1960 มม สูง 1474 มม โดยมีระยะฐานล้ออยู่ที่ 2950 มม น้ำหนักรถอยู่ที่ 2,040 กิโลกรัมสำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และ 2250 กิโลกรัม สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งเป็นรุ่นสมรรถนะสูง โดยรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง จะมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 250 กิโลวัตต์ ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 379 กิโลวัตต์ โดยมีการติดตั้งมอเตอร์ขนาด 200 กิโลวัตต์ที่เพลาหน้าเพิ่มเข้ามาด้วย

ในช่วงแรกของการเปิดตัว IM L6 จะมาพร้อมแบตเตอรี่แบบ NCM ขนาด 90 หรือ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง จาก CATL โดยแบตเตอรี่ขนาด 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ใช้กับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง จะให้ระยะทางวิ่งสูงสุดที่ 720 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน CLTC ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 700 กิโลเมตร/ชาร์จ ในขณะที่แบตเตอรี่ขนาด 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะให้ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อชาร์จ ที่ 770 กิโลเมตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และ 750 กิโลเมตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่สำหรับรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่แบบโซลิตสเตท เจ้าหน้าที่ของ IM Motors อ้างว่า ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อชาร์จจะอยู่ที่ 1,000 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน CLTC หรือ 800 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งทาง IM Motors ถือว่าระยะทางสูงสุดเป็นจุดขายสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ นอกจากนั้น L6 ยังจะมาพร้อมระบบแดมปิ้งปรับเองอัตโนมัติ ระบบช่วยกลับรถในพื้นที่แคบที่เรียกว่า Tank Turn และยังมีข่าวว่า อาจจะมีระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติมาให้ด้วย ซึ่งทางบริษัทได้รับอนุญาตให้ทำการทดสอบระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ในเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว

การนำเอาแบตเตอรี่แบบ solid-state มาใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรุ่นแรกๆของวงการ น่าจะช่วยให้ MG ยกระดับเกมการแข่งขันขึ้นไปได้อีกมาก ที่ไม่เพียงแต่สร้างโจทย์ที่ยากขึ้นให้กับ TOYOTA และ Nissan แล้ว ยังเหมือนเป็นการสร้างจุดขายให้เหนือกว่า BYD ที่ใช้แบตเตอรี่เบลด ที่ยังเป็นเทคโนโลยีเดิมอยู่ อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่จากจีนหลายราย มีการพัฒนาแบตเตอรี่ชนิดนี้ร่วมกัน เชื่อว่าอีกไม่นาน เราน่าจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ solid-state ทยอยเปิดตัวตามกันมา และนั่นอาจจะหมายถึง การทิ้งห่างคู่แข่งจากญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ไปอีกหนึ่งก้าวใหญ่ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านทางด้านเทคโนโลยีไปสู่แบตเตอรี่ solid-state อาจจะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน ลดลงไปได้อีกมาก ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อผู้ซื้อ แต่กลับกลายเป็นฝันร้ายของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่มีเทคโนโลยีชนิดขนาดนี้ หรือไม่สามารถพัฒนามาขายได้ทันการณ์