จุดจบรถน้ำมัน..กำลังจะมาถึงแล้ว? เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่จีน แก้ปัญหาสำคัญ ที่ทำให้คนลังเลซื้อ EV ได้แล้ว

จีนยังสร้างเรื่องไม่หยุด เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากเสินเจิ้น เตรียมเปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า ที่จะทำให้คุณ รู้สึกไม่แตกต่างไปจากการใช้รถน้ำมัน ด้วยการใช้เวลาที่สถานีชาร์จ เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก่อนที่จะสามารถขับรถของคุณ ไปได้ไกลสูงสุดหลายร้อยกิโลเมตร ตามความจุแบตเตอรี่้ โดยที่ไม่ต้องแวะชาร์จไฟอีก เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่รถยนต์น้ำมัน และรถยนต์ไฟฟ้า ใช้เวลาในการเติมพลังงานไม่แตกต่างกันแล้ว

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายคนยังลังเลที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็คือเวลาที่ใช้ในการชาร์จ ที่ในปัจจุบัน ถือว่ายังใช้เวลาตามสถานีชาร์จไฟต่างๆ นานกว่าการใช้รถน้ำมันอยู่มาก โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งรีบที่อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นจากการรอคิวเพื่อชาร์จไฟ นั่นทำให้ในบางสถานการณ์ รถยนต์ไฟฟ้า จึงไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้รถยนต์บางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ยิ่งเวลาผ่านไป ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ก็เริ่มคลี่คลายไปทางที่ดีขึ้น จากความก้าสหน้าในด้านเทคโนโลยี และดูเหมือนว่า วันที่เจ้าของรถ ใช้เวลาในการชาร์จไฟให้กับรถของตัวเอง ด้วยระยะเวลาที่แทบไม่แตกต่างไปจากการเติมน้ำมัน กำลังเกิดขึ้นแล้ว และมันอาจจะกลายเป็นไมล์สโตนสำคัญของวงการยานยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง และจีน ก็ยังเป็นผู้เล่นบทบาทสำคัญในเรื่องนี้

ต้องถือว่าเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า มีพัฒนาการที่รวดเร็วและต่อเนื่อง เรียกว่ามีข่าวความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีออกมาแทบจะรายสัปดาห์ โดยเฉพาะในเรื่องของแบตเตอรี่ ซึ่งล่าสุด บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ก็รวมตัวกันพัฒนาแบตเตอรี่แบบโซลิตสเตท เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทสัญชาติจีน จะเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของโลกได้อย่างยั่งยืน ในช่วงเดียวกัน บริษัทยักษ์ทางด้านโทรคมนาคมของจีนอย่าง Huawei Tecnologies เตรียมติดตั้งสถานีชาร์จไฟอีวีมากถึง 1 แสนสถานีในประเทศจีนภายในปี 2024 นี้ ที่น่าสนใจคือ หัวชาร์จที่ใช้ สามารถขาร์จไฟได้เร็วกว่าหัวชาร์จจากสถานีของ Tesla เป็น 2 เท่า โดยใช้เวลา 1 วินาที ในการให้ระยะทางวิ่งได้ถึง 1 กิโลเมตร ถือว่าเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในด้านนี้ให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเป็นอย่างมาก

ที่สถานีชาร์จแห่งใหม่ของ Huawei จะมีการโฆษณาถึงประสิทธิภาพของหัวชาร์จ ว่าใช้เวลาเพียง 1 วินาที สำหรับ 1 กิโลเมตร พร้อมตัวเลข 600 kW ใต้โลโก้ Huawei โดยมีการสร้างสถานีตามศูนย์การค้าต่างๆในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของบริษัท หัวชาร์จไฟที่ใช้เป็นแบบ Ultrafast ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยบริษัทลูกของ Huawei ที่ชื่อ Huawei Digital Power โดยในตอนหลัง ได้ขยายขอบเขตการผลิต ไปสู่การสร้างสถานีชาร์จทั้งหมด หลิวต้าเว่ย ผู้บริหารของบริษัทเผยว่า ด้วยความเร็วในการชาร์จขนาดนี้ ทำให้ผู้ใช้งาน รู้สึกเหมือนกำลังเติมน้ำมันให้กับรถของตัวเองอยู่ โดยบริษัทจะจำหน่ายอุปกรณ์ชาร์จไฟให้กับผู้ประกอบการสถานีชาร์จไฟฟ้า โดยคาดว่าจะมีการติดตั้งมากกว่า 100,000 จุด ซึ่งรวมถึงหัวชาร์จขนาด 250 กิโลวัตต์ด้วย ซึ่งสถานที่เป้าหมาย ก็จะเป็นแหล่งธุรกิจการค้าต่างๆ จุดพักรถตามทางหลวง โดยจะติดตั้งให้แล้วเสร็จทั้งหมด ภายในสิ้นปี 2024 นี้

หากใช้ตัวอัตราการชาร์จจาก Huawei ในกรณีของรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ขนาด 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระยะทางวิ่งสูงสุดต่อชาร์จที่ 600 กิโลเมตร หัวชาร์จแบบ Ultrafast นี้ จะใช้เวลาในการชาร์จไฟจนเต็มความจุแบตเตอรี่ เพียง 8 นาทีเท่านั้น เรียกว่าชาร์จครั้งเดียว สามารถขับรถจากกรุงเทพฯไปถึงภาคเหนือของไทยได้เลย โดยไม่ต้องแวะชาร์จไฟระหว่างทาง อย่างไรก็ตาม เวลาในการชาร์จอาจจะแตกต่างออกไปตามอุณหภูมิในขณะนั้น รวมความจุที่เหลือของแบตเตอรี่ด้วย ขนาดกำลังไฟของหัวชาร์จที่ 600 กิโลวัตต์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตัวเลขหนึ่งในโลก ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ของ Tesla ในประเทศจีน มีตัวเลขสูงสุดอยู่ที่เพียง 250 กิโลวัตต์เท่านั้นเอง ซึ่งหากใช้กับกรณีเดียวกัน หัวชาร์จของ Tesla จะใช้เวลาถึง 19 นาที หรือมากกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว ที่น่าสนใจ Huawei เผยว่า หัวชาร์จนี้ รองรับการใช้งานได้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นทุกยี่ห้อ รวมถึง Tesla ด้วย อย่างไรก็ตาม กำลังไฟที่ออกมาจากหัวชาร์จที่มากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความร้อนมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่ง Huawei ได้แก้ไขปัญหานี้ ด้วยการติดตั้งระบบหล่อเย็นด้วยของเหลว ในขณะที่บริษัทอื่นๆ จะใช้พัดลมในการระบายความร้อน

และด้วยการที่ Huawei มีธุรกิจหลักในด้านโทรคมนาคม รวมถึงธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ บริษัทจึงใช้ข้อได้เปรียบนี้สร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ทำให้หัวชาร์จของตัวเอง สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายการสื่อสารได้ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต และยังทนต่อสภาพอากาศต่างๆได้ดีกว่าหัวชาร์จแบบทั่วไปด้วย ซึ่งการเข้ามาสู่ธุรกิจผลิตหัวชาร์จไฟฟ้า เนื่องจากเกิดตลาดที่มีความต้องการอุปกรณ์ชาร์จไฟ ที่สามารถรองรับประสิทธิภาพและความจุที่มากขึ้นของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา CATL บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลกจากจีน ได้ประกาศเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่นใหม่ ที่สามารถใช้ไฟภายใน 10 นาที ให้ระยะทางวิ่งได้ถึง 400 กิโลเมตร โดยมี Chery Automobile และบริษัทสตาร์ตรายหนึ่ง ที่ Huawei จัดหาระบบขับขี่อัตโนมัติให้ เป็นลูกค้า

เมื่อสิ้นปี 2023 ที่ผ่านมา ประเทศจีนมีสถานีชาร์จไฟสาธารณะทั้งหมด 2.7 ล้านสถานี โดยมีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก 40% ภายในปี 2024 นี้ แต่จะมีเพียงบางสถานีเท่านั้น ที่รองรับการการชาร์จไฟแบบ fast charging ผู้บริหาร Huawei เปิดเผยว่า ตัวเลขนี้ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดต่อการใช้หัวชาร์จแบบ fast charging ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในปัจจุบัน Tesla เป็นผู้นำในเครือข่ายสถานีชาร์จไฟแบบ fast charging โดยบริษัทได้เริ่มติดตั้งสถานีชาร์จไฟแบบนี้ที่ประเทศจีน มาตั้งแต่ปี 2014 และมีมากกว่า 11,000 แห่ง หากนับจนถึงเดือนพฤศจิกายนปี 2023 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รถที่เข้าทำการชาร์จไฟ มีเพียงรถยนต์ของ Tesla เท่านั้น โดยบริษัทเผยว่า ในปี 2023 Tesla จะเปิดให้บริการกับรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่นๆด้วย แต่ตอนนี้ สามารถรองรับการใช้งานกับรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆได้เพียง 20% ของทั้งเครือข่ายเท่านั้น ในบรรดาผู้เล่นจากจีน Xpeng Motors บริษัทสตาร์ตอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้า ได้ติดตั้งหัวชาร์จแบบ ultrafast ที่กำลังไฟ 490 กิโลวัตต์ มากกว่า 200 จุด ซึ่งเป็นตัวเลขจนถึงเดือนสิงหาคมปี 2023 ส่วนผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟรายใหญ่อื่นได้แก่ TELD และ Star Charge ก็กำลังทำการติดตั้งหัวชาร์จแบบ ultrafast อยู่

หากหัวชาร์จจาก Huawei ชนิดนี้ ที่รองรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกยี่ห้อ มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย เชื่อว่า ความก้าวหน้าในเรื่องนี้ จะเป็นตัวผลักดันให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่างๆของจีน ผลิตรถยนต์ที่รองรับการชาร์จไฟแบบ fast charging มากขึ้นในอนาคต โดยในตอนนี้ Huawei จะเน้นไปที่ตลาดภายในประเทศก่อน และก็ยังไม่ได้มองข้ามตลาดต่างประเทศด้วย

จากความก้าวหน้าล่าสุดในวงการยานยนต์ไฟฟ้านี้ น่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างมากในอีก 2-3 ปีข้างหน้า คุณสมบัติทางเทคนิคของรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในเมืองไทย ก็น่าจะแตกต่างไปจากที่เราได้เห็นในปัจจุบันนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชนิดแบตเตอรี่ที่ใช้ และความสามารถในการรองรับการชาร์จไฟที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้บางคน ต้องการรอให้ทุกอย่างนิ่งเสียก่อน และรอซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่เลยทีเดียว แต่ในอีกมุมหนึ่ง การตัดสินใจซื้อในตอนนี้เพราะมีความจำเป็นในการใช้งาน ก็ทำให้สามารถได้ใช้รถก่อนได้เลย เพราะในอนาคต ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่า เราจะได้ใช้รถที่มีเทคโนโลยีที่เราต้องการ ได้ภายในกำหนดเวลาที่เราคาดการณ์หรือไม่