คนไทยรอขับ! เผยภาพภายในครั้งแรก 2024 MG Cyberster ขายนอก 2.5-2.9 ล้านบาท

ในที่สุด MG ก็ได้เผยโฉมห้องโดยสารภายใน ของสปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้า MG Cyberster รุ่น production ออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างไปจากรุ่น pre-production อยู่บ้าง ตามที่มีการอวดโฉมรถต้นแบบไปก่อนหน้านี้ ที่ประเทศอังกฤษ โดย MG เตรียมส่ง Cyberster บุกตลาดจีนก่อนภายในปีนี้ ด้วยขุมพลัง ระดับ 544 แรงม้า ทำความเร็วจาก 0-100 ได้ใน 3 วินาที โดยเตรียมจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ในปี 2024 ในราคา 55,000-65,000 ปอนด์ หรือราว 2,470,000 ไปจนถึง 2,920,000 บาท เมื่อคิดเป็นเงินไทย

ก่อนหน้านี้ เราอาจจะได้เห็น MG Cyberster ผ่านการขับทดสอบ โดยสื่อมวลชนในบางประเทศไปแล้ว แต่สำหรับรุ่น production จะมีความแตกต่างในส่วนของห้องโดยสารภายในพอสมควร ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือดีไซน์ของพวงมาลัย ซึ่งเดิม มีการที่ใช้แบบ Yoke คล้ายวิดีโอเกม มาเป็นแบบ 3 ก้าน ที่เห็นในรถยนต์ทั่วไป ซึ่งอาจจะสร้างความผิดหวังให้กับคนสั่งจองอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า MG อาจจะมีอ็อปชั่น ที่เป็นพวงมาลัย Yoke ให้ลูกค้าได้เลือกด้วย ซึ่งต้องรอการยืนยันอีกครั้ง บนพวงมาลัย จะมีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่มาให้ด้วย ส่วน paddle shift จะอยู่ทางด้านหลังพวงมาลัยตามปกติ โดยรวม ยังมีปุ่มควบคุมการทำงานต่างๆ เหมือนรุ่นพวงมาลัย Yoke เพียงแต่ยังใช้ดีไซน์แบบดั้งเดิมอยู่

สำหรับโทนสีของห้องโดยสารภายในนั้น ก็แตกต่างไปจากรุ่น pre-production จากเดิมที่ใช้สีแดง ขาว และดำ ในการตกแต่ง ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นสีแดงหม่น ที่ดูจะลงตัวกับรถสปอร์ตมากกว่า ในขณะที่หลังคา และเสาค้ำยันเป็นสีดำ ส่วนแผงข้างประตู จะมีปุ่มปรับตำแหน่งเบาะนั่ง ติดตั้งอยู่ด้วย

จอแสดงผลต่างๆยังเหมือนเดิม คือเป็นแบบจอ 3 จอเรียงติดกัน เป็นแนวโค้ง คอนโซลหน้าและคอนโซลกลาง ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้เช่นกัน มาพร้อมปุ่มควบคุมต่างๆ และชุดเกียร์ ที่มีจอแสดงผลแนวตั้งขนาดเล็กอยู่ข้างๆ โดยมีปุ่มเบรคมือ 2 จุด ทั้งบริเวณคอนโซลกลาง และด้านซ้ายของพวงมาลัย มีปุ่มควบคุมการเปิดปิดหลังคา และที่วางแก้วน้ำ 2 จุด

SAIC Group จะทำการผลิต MG Cyberster ในประเทศจีน ถือว่าเป็นโรดสเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร คือมีความยาว 4535 มม กว้าง 1913 มม และสูง 1329 มม ฐานล้อยาว 2690 มม ดีไซน์ภายนอกดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว แตกต่างด้วยการใช้ประตูแบบปีกนก โดยรุ่นเริ่มต้น จะมาพร้อมระบบขับเคลื่อนที่เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว ที่ติดตั้งอยู่บนเพลาหลัง ให้กำลังสูงสุด 312 แรงม้า ส่วนรุ่นบนที่มาพร้อมระบบ 4WD จะมีระดับกำลังสูงสุดอยู่ที่ 544 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับระบบแบตเตอรี่ จะมีให้เลือก 2 อ็อปชั่นคือขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง และ 77 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด ที่ 501-580 กิโลเมตร/ชาร์จ ซึ่งอาจจะดูน้อยไปสักนิด แต่เพื่อไม่ให้น้ำหนักมากไปกว่านี้ ซึ่งอยู่ 1,985 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าหนักพอสมควรอยู่แล้ว

สำหรับการจำหน่ายในเมืองไทย ต้องรอการยืนยันอีกครั้งว่าจะเป็นช่วงเวลาใด แต่คาดว่าเร็วที่สุด น่าจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า 2024