ถ้ามองตัวเลขยอดขายในเมืองไทย ของ Mazda BT-50 ที่มีเพียง 100 กว่าคันต่อเดือน หลายคนอาจจะคิดว่า Mazda อาจจะเลือกตัดสินใจผิด ที่จับมือกับ Isuzu ในการผลิต ซึ่งเดิมที หลายคนอาจจะมองว่า การเป็นพันธมิตรกับรถกระบะยอดขายอันดับ 1 ในเมืองไทย จะช่วยทำให้ Mazda ทำตลาดได้ง่ายขึ้นที่นี่ อีกทั้ง Mazda เอง ก็เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสุภาพสตรี หรือคนที่ต้องการรถกระบะ ที่มีดีไซน์หรูหราในแบบรถยนต์นั่ง แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้ว Mazda ถือว่าทำผลงานได้น่าพอใจ เพราะในตลาดรถกระบะขนาดกลางอันดับ 2 ของโลก อย่างประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา Mazda สามารถจำหน่าย BT-50 ไปได้ ถึง 12,937 คัน หรือราวครึ่งหนึ่งของยอดขาย Isuzu D-MAX ซึ่งทำได้ที่ 24,336 คัน เรียกว่า ขายดีกว่าในเมืองไทย เกือบ 10 เท่าตัว ซึ่งน่าจะทำให้ Mazda ในฐานะที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตรถยนต์เอง พอใจกับผลงานในภาพรวม
และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ Mazda BT-50 ในแดนจิงโจ้ มีทางเลือกที่หลากหลายกว่าในเมืองไทย โดยล่าสุด Mazda ได้ทำการเปิดตัว BT-50 รุ่นปี 2023 รุ่นย่อย LE ที่ต่อยอดมาจากรุ่นย่อย XTR Dual Cab โดยมีการเสริมชุดแต่งต่างๆเข้าไป ที่เห็นได้ชัดก็คือ Bull Bar หรือโครงเหล็กกันชนด้านหน้า และแน่นอนว่า ราคาจำหน่าย ก็ขยับขึ้นตามไปด้วย โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม ราว 150,000 บาท เป็น 1,492,000 บาท ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งนอกจาก Bull Bar ด้านหน้าแล้ว ชุดแต่งอื่นๆ ยังมีสปอร์ตบาร์พร้อมไฟท้าย และพื้นปูกระบะท้ายแบบ heavy duty
Mazda BT-50 LE มาพร้อมขุมพลังดีเซลเทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร และแม้ว่าจะมีการติดตั้ง bull bar ขนาดใหญ่ด้านหน้ารถ แต่ทาง Mazda ได้ยืนยันว่า ชุดแต่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับการทำงานของถุงลมนิรภัย ระบบช่วยขับขี่ การไหลของอากาศเข้าสู่ห้องเครื่องเพื่อระบายความร้อน และอื่นๆ ซึ่งได้มีการวิจัยและทำการทดสอบในเรื่องนี้ก่อนวางตลาดแล้ว
การทำตลาด BT-50 ของ Mazda ในออสเตรเลีย อาจจะเป็นกรณีศึกษาของไทยได้ดี เพราะที่นั่น Mazda ได้ให้บริษัทท้องถื่น ทำการผลิตชุดแต่งเพิ่ม เพื่อเสริมควมดุดันจากรุ่นมาตรฐาน ที่อาจจะไม่ถูกใจนักขับขาลุยสักเท่าใดนัก ซึ่งถ้าเมืองไทยมีชุดแต่งเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้ยอดขาย ดีขึ้นกว่าเดิม ก็เป็นไปได้
[yourchannel video=”miFkx5Uu9ic” autoplay=”1″ show_comments=”1″]