เพิ่งมีข่าวรถต้นแบบวิ่งทดสอบอยู่ในเมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ MG เปิดตัว MG4 Electric รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์แฮทช์แบ็ครุ่นใหม่ล่าสุด ในทวีปยุโรป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในราคาเริ่มต้น 28,990 ยูโร หรือราว 1,059,000 บาท โดยจะทำตลาดใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Standard, Comfort และ Luxury มาพร้อมขุมพลังขนาด 125 และ 150 กิโลวัตต์ ระยะทางการขับขี่สูงสุด 450 กม/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP
MG4 Electric หรือเรียกสั้นๆว่า MG4 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในตัวถังแบบแฮทช์แบ็ค ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม MSP ที่ย่อมาจาก Modular Scalable Platform ที่ MG ได้รับการถ่ายทอดมาจากบริษัทแม่อย่าง SAIC Motor โดยถูกจัดให้เป็นรถยนต์ C-Segment ในยุโรป โดยมีรุ่นเริ่มต้นเป็นรุ่น Standard ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในราคาเรื่มต้นที่ราว 1,059,000 บาท ส่วนรุ่น Comfort และ Luxury มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดย MG จะทำการส่งมอบรถล็อตแรกให้กับลูกค้าได้ภายในปี 2022 นี้เลย
MG มีความยาว 4,287 มม กว้าง 1,836 มม สูง 1,504 มม ฐานล้อยาว 2,705 มม ทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ที่สามารถรองรับสมาชิกในครอบครัวได้ถึง 5 คนสบายๆ ส่วนพื้นที่จุสัมภาระ รองรับได้ตั้งแต่ 350 ไปจนถึง 1,165 ลิตร ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักในอัตราส่วน 50:50 ด้านหน้ามาพร้อมโคมไฟหน้ารูปวงรีปลายแหลม ดูโฉบเฉี่ยว ชุดไฟหน้าประกอบด้วยไฟ LED ถึง 28 ดวง พร้อมไฟเดย์ไทม์ที่เป็นแนวตั้ง 6 แถบ เรียงตัวกันอยู่ด้านบนสุด ส่วนไฟตัดหมอกจะมีอยู่ 3 ดวง ในขณะที่ไฟต่ำถูกรวมไว้กับไฟเลี้ยวที่เป็นแบบ LED เช่นกัน ดีไซน์ลักษณะเดียวกัน ยังถูกถ่ายทอดไปสู่ไฟท้าย LED เช่นกัน โดยไฟ LED ถึง 172 ดวง ถูกนำมาใช้เป็นแถบไฟท้าย ที่ยาวตลอดความกว้างของรถ เพิ่มความสปอร์ตด้วยหลังคาสีทูโทน มาพร้อมสปอยเลอร์คู่ ค่าสัมประสิทธฺ์แรงต้านอากาศของ MG4 อยู่ที่ 0.27-0.287 ตามรุ่นที่เลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับการปิดเปิดช่องดักอากาศด้านหน้า เพื่อการระบายความร้อน ซึ่งในกรณีที่มีการปิดรับลม สมรรถนะในด้านอากาศพลศาสตร์จะดีขึ้นถึง 30% ส่งผลให้ระยะทางการขับขี่เพิ่มขึ้น 10% นั่นทำให้การออกแบบในด้านอากาศพลศาสตร์ ในการช่วยระบายความร้อน เป็นเรื่องสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่ระยะทางการขับขี่ต่อชาร์จ ยังไม่มากพอที่จะครอบคลุมการเดินทางไกลแบบที่ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟระหว่างทางได้ ล้ออัลลอยเป็นขนาด 17 นิ้วจาก Tomahawk มีสีทูโทนให้เลือกในรุ่น Comfort และ Luxury ซึ่งมีการออกแบบให้เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์อีกด้วย มาพร้อมยางแบบต้านทานการหมุนต่ำ ขนาด 215/55 R17 จาก Continental ส่วนสีภายนอก มีให้เลือกทั้งหมด 7 สีด้วยกัน รวมถึงสีส้ม Fizzy Orange ที่ใช้ในการเปิดตัว
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายในแบบ minimal จอแสดงผลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว และจอแสดงผลกลางระบบ infotainment ขนาด 10.25 นิ้ว เป็นแบบลอยตัว มาพร้อมระบบ MG iSmart รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Apple CarPlay และ Android Auto โดยในรุ่น Luxury จะมีระบบสั่งงานด้วยเสียง และระบบควบคุมรถจากระยะไกล ผ่านทางแอพพลิเคชั่น iSmart มีการใช้วัสดุคุณภาพสูง ในการบุพื้นผิวในจุดต่างๆ ในรุ่น Luxury มีแท่นชาร์จไฟโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายมาให้ด้วย พวงมาลัยเป็นแบบ 2 ก้านตัดโค้งทั้งด้านบนและล่าง ปรับความสูงและตำแหน่งได้ โดยเป็นแบบหุ้มหนังในรุ่น Comfort และมีระบบทำความอุ่นในรุ่น Luxury ซึ่งเป็นรุ่นที่เบาะคู่หน้า มีระบบทำความอุ่นด้วยเช่นกัน ส่วนที่นั่งคนขับ ปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง
MG4 มาพร้อมแบตเตอรี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า ONE PACK ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญอย่างหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ ด้วยการเป็นแบตเตอรี่ที่มีขนาดบางที่สุดในคลาส คือมีความหนาเพียง 110 มิลลิเมตร ทำให้ห้องโดยสารภายใน มีพื้นที่เหนือศีรษะมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้ ถูกพัฒนาขึ้นโดย SAIC Motor และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม MSP ที่เป็นโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย ให้พื้นที่ใช้งานที่กว้างขวาง และให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดี โดยรองรับระยะฐานล้อ ที่มีความยาวระหว่าง 2650-3100 มม ทำให้ถูกใช้เป็นแพลตฟอร์ม ได้ทั้งรถแฮทช์แบ็ค เอสยูวี รถตู้อเนกประสงค์ ไปจนถึงรถสปอร์ต
สำหรับ MG4 รุ่น Standard จะมาพร้อมแบตเตอรี่แบบ Lithium iron phosphate ขนาด 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 125 กิโลวัตต์ หรือ 167 แรงม้า ที่ 6500 รอบ/นาที สามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ภายในเวลา 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้ระยะทางการขับขี่สูงสุด 350 กิโลเมตร/ชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP โดยสามารถชาร์จไฟแบบ DC ขนาดกำลังไฟ 117 กิโลวัตต์ ให้ได้ความจุแบตเตอรี่ 80% ภายใน 40 นาที ส่วนรุ่น Comfort และ Luxury มาพร้อมแบตเตอรี่แบบ Nickel cobalt manganese ขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ หรือ 201 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังเช่นกัน โดยสามารถทำความเร็วจาก 0-100 ได้ภายในเวลา 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนระยะทางการขับขี่สูงสุด ตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 450 กิโลเมตร/ชาร์จ สำหรับรุ่น Comfort และ 435 กิโลเมตร/ชาร์จ ในรุ่น Luxury โดยใช้เวลาในการชาร์จแบบ fast-charging จาก 10-80% ของความจุแบตเตอรี่ ภายในเวลา 35 นาที จากหัวชาร์จขนาดกำลังไฟ 135 กิโลวัตต์ ทั้ง 3 รุ่นย่อย มีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 250 นิวตันเมตร ที่ 1,000 – 3,500 รอบ/นาที
MG เคลมว่า MG4 ใช้ระบบกันสะเทือนเหมือนกับรถหรูยุโรปที่มีขนาดใหญ่กว่า คือด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบ Five-Link Single Wheel การควบคุมการขับขี่ทำได้ดีกว่า ด้วยพวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Dual Pinion จาก Bosch ที่ปรับกำลังการหักเลี้ยวได้แม่นยำและรวดเร็ว ตามความเร็วของรถแบบ Real time จากการหักเลี้ยวที่เบามือ ที่ความเร็วต่ำ ไปสู่หนัก ที่ความเร็วสูงขึ้น ที่สามารถปรับได้ 3 โหมดด้วยกัน คือ Light Standard และ Sport
ระบบห้ามล้อ Continental มาพร้อมดิสก์เบรคทั้ง 4 ล้อ ซึ่งจะมีการปรับตามโหมดการขับขี่ 3 โหมด คือ Comfort Normal และ Sport ระยะเบรคที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ 37 เมตร
MG4 ยังมาพร้อมระบบช่วยขับขี่และระบบคามปลอดภัยที่หลากหลาย นอกจากระบบเตือนการชนด้านหน้า และระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติแล้ว ทุกรุ่นย่อย จะมาพร้อมระบบ Adaptive Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน เป็นฟีเจอร์มาตรฐาน ซึ่งถูกรวมอยู่ในระบบ MG Pilot และช่วยในการขับขี่อัตโนมัติในระดับหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีระบบควบคุมไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมความเร็ว ที่มาพร้อมระบบช่วยอ่านป้ายจราจร สำหรับรุ่นย่อย Luxury จะมาพร้อมระบบเตือนจุดอับสายตาด้านข้าง ระบบช่วยเปลี่ยนเลน ระบบเตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง ระบบเตือนเมื่อมีรถเข้าใกล้ขณะเปิดประตู ระบบเตือนการขับขี่ที่ไม่คงที่ ซึ่งทำงานผ่านกล้องภายใน นอกจากนั้นยังมีกล้องช่วยมองรอบคัน 360 องศา
รายละเอียดทางด้านเทคนิคและราคาของ MG4 เวอร์ชั่นยุโรป น่าจะช่วยให้เราได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับรถแฮทช์แบ็คไฟฟ้ารุ่นนี้ ได้เกือบจะครบถ้วน หาก MG ทำตลาดรถรุ่นนี้ในเมืองไทย ซึ่งรายละเอียดทางด้านเทคนิคต่างๆ ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก
[yourchannel video=”NR874ebRfhg” autoplay=”1″ show_comments=”1″]