ถ้าพูดถึง BYD ในช่วงนี้ ก็คงหนีไม่พ้นข่าวลือเกี่ยวกับการที่มีรถยนต์ไฟฟ้าบางคัน เกิดเพลิงไหม้ จนเป็นข่าวที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดในวงการยานยนต์ไฟฟ้าข่าวหนึ่ง ซึ่งล่าสุด BYD ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเตรียมฟ้องร้องคนปล่อยข่าว รวมผู้ใดที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายจากข่าวนี้
BYD ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศบ้านเกิดอยู่ในปัจจุบัน และกำลังขยายฐานทางธุรกิจไปทั่วโลก รวมถึงเมืองไทย ที่มีข่าวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการจดทะเบียนบริษัทภายใต้ชื่อ BYD จนถึงวันนี้ ซึ่งต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า นิติบุคคลที่จะเข้ามาบุกตลาดเมืองไทย จะเป็นรูปแบบใดบ้าง ทั้งการเปิดบริษัทสาขาโดยตรง และการร่วมทุนกับพันธมิตรอื่นๆ
ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆของ BYD ทุกรุ่น ถูกติดตั้งด้วยแบตเตอรี่ที่เรียกว่า Blade Battery โดยมีการจำหน่ายรถยนต์รุ่นต่างๆที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ไปแล้วมากกว่า 10,000 คัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Han, Tang, Song และ Dolphin ซึ่งถือว่าเป็นการยืนยันถึงคุณภาพของแบตเตอรี่ชนิดนี้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา BYD ได้ประกาศความสำเร็จก้าวใหม่บนแพลตฟอร์มนักลงทุน ว่า เบลดแบตเตอรี่ สามารถทำการชาร์จ-ดิสชาร์จ ได้มากกว่า 3,000 ครั้ง และสามารถให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุดถึง 1.2 ล้านกิโลเมตรเลยทีเดียว โดยก่อนหน้านี้ เบลดแบตเตอรี่ ได้รับการทดสอบอย่างเข้มงวดในด้านความปลอดภัย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศจีน โดยบริษัทถึงกับเคลมว่า แบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่มีวันที่ติดไฟได้เอง
แบตเตอรี่ชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่ฝาปิดภายในด้านบน ที่การใช้โครงสร้างแบบรังผึ้ง ซึ่งให้ความแข็งแกร่งสูงขึ้นและรองรับน้ำหนักของวัสดุภายในได้อย่างทั่วถึง โดยเบลดแบตเตอรี่มีการวางซ้อนกันแบบชั้นต่อชั้น ด้วยใช้หลักการที่เรียกว่า chopstick หรือตะเกียบ ทำให้แบตเตอรี่ทั้งชุดมีความทนทานสูงมาก เมื่อเกิดการชนของรถหรือการพลิกคว่ำ
ในปัจจุบัน เบลดแบตเตอรี่ของ BYD ยังถูกใช้งานโดยบริษัทอื่นๆทั้ง FAW Hongqi, Zhongtong Bus, Changan Automobile รวมถึงค่ายรถยนต์ยักษ์จากต่างประเทศอย่าง Toyota, Ford, PSA และ Daimler
ความก้าวหน้าของ BYD ล่าสุดนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ที่มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในทุกมิติ ทั้งระยะการใช้งานสะสมที่มากขึ้น ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ที่ไกลขึ้น และความคงทนในการใช้งานที่มากขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อผู้ใช้รถ ที่สำคัญกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และได้รับการยอมรับมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่ำลง จากจำนวนรถหรือแบตเตอรี่ที่ถูกผลิตออกมากขึ้น ทำให้ราคาจำหน่าย ต่ำลงไปด้วย