ในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ทุกค่ายรถยนต์ ต่างเดินทางมุ่งสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า ไม่เว้นแม้แต่รถกระบะปิกอัพ ที่เป็นหนึ่งในประเภทรถยนต์กลุ่มท้ายๆ ที่จะถูกเปลี่ยนจากระบบขับเคลื่อนที่ใช้น้ำมัน ไปสู่การใช้ขุมพลังไฟฟ้า แม้ว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน ยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ในตลาดนี้ก็ตาม Ford ก็เป็นค่ายรถยนต์รายแรกๆ ที่เพิ่มทางเลือกเป็นขุมพลังไฟฟ้า ให้กับรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงไลน์อัพของ Ranger ที่มีข่าวมาเป็นระยะ ถึงการที่จะมีขุมพลังไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ให้เลือกในอนาคต อย่างไรก็ตาม รุ่น flagship ในไลน์อัพของ Ranger อย่าง Raptor อาจจะไม่ได้ถูกรวมเข้าไปด้วย เหมือนรุ่นย่อยอื่นๆ สำหรับทางเลือกที่เป็นขุมพลังไฟฟ้าแบตเตอรี่
จากการเปิดเผยโดยวิศวกรคนหนึ่งของ Ford ในระหว่างการแถลงข่าวเปิดตัว All-New Ford Ranger Raptor ที่ประเทศออสเตรเลีย ว่าโอกาสที่จะมีเวอร์ชั่นไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ หรือ BEV ในรุ่นย่อยที่สำคัญอย่าง Ranger Raptor มีอยู่น้อยมาก ซึ่งจะต่างจากกรณีของ Ranger รุ่นมาตรฐาน อย่าง Wildtrak และ Sport ทั้งนี้ ก็เพราะข้อจำกัดในหลายเรื่อง ซึ่งส่งผลกระทบกับสมรรถนะของตัวรถ ที่่เป็นเอกลักษณ์ของ Ranger Raptor ทั้งในเรื่องพละกำลังของระบบขับเคลื่อน การควบคุมการขับขี่ ความสามารถในการบุกตะลุยบนเส้นทางออฟโรด การลากจูงโหลด เสถียรภาพของตัวรถ และความปลอดภัยในการโดยสาร ซึ่งขนาดและน้ำหนักของแบตเตอรี่ ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในด้านต่างๆเหล่านี้ แต่สำหรับ Ranger รุ่นมาตรฐาน และ PPV อย่าง Everest แล้ว ขุมพลังทางเลือกใหม่อย่างไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด รวมถึงไฟฟ้าแบตเตอรี่ เป็นสิ่งที่่เกิดขึ้นได้ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนา หรืออาจจะเตรียมเปิดตัวในอนาคต ตามที่เคยมีข่าวมาก่อนหน้านี้
และถ้าเจาะลึกลงไปอีก อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ Ranger Raptor EV เกิดขึ้นได้ยาก ก็คือน้ำหนักของแบตเตอรี่ ที่อาจจะสูงถึงหลายร้อยกิโลกรัม ซึ่ง Ranger Raptor เอง ก็มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ราว 2,300 กว่ากิโลกรัมอยู่แล้ว การติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเข้าไป อาจจะให้น้ำหนักรวมของรถ สูงกว่า 3,000 กิโลกรัมเลยก็เป็นไปได้
อาจจะมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการติดตั้งและการกระจายน้ำหนักบนโครงสร้างตัวถัง ที่เรียกว่า T6.2 ซึ่งเดิมที มันได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งอยู่ตรงส่วนหน้าของรถ ทำให้ส่วนหลัง เป็นตำแหน่งที่ๆจะถูกใช้ในการติดตั้งแบตเตอรี่ไปโดยอัตโนมัติ นั่นทำให้การติดตั้งชุดแบตเตอรี่ ณ ตำแหน่งนี้ มีข้อเสียหลักๆอยู่ 3 ข้อด้วยกัน คือ 1. แบตเตอรี่ใช้พื้นที่ติดตั้งมาก จนส่งผลให้พื้นที่จุสัมภาระท้ายกระบะลดลง 2.น้ำหนักที่มาก ทำให้ความสามารถในการลากจูงโหลดลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ Ranger Raptor อาจจะไม่ใช่ทางเลือกสำหรับคนที่มักจะใช้งานในลักษณะนี้ ซึ่งแม้ว่าตลาดเมืองไทย อาจจะมีอยู่น้อย ที่มีการลากจูงเรือ หรือรถพ่วงท้าย แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับลูกค้าในบางประเทศ 3. การติดตั้งแบตเตอรี่ ทำให้จุดศูนย์ถ่วงรถสูงขึ้น รถจึงเสียสมดุลย์ได้ง่าย ส่งผลถึงช่วงล่าง การหักเลี้ยว การเบรค ล้อและยางรับน้ำหนักมากเกินไป และระบบความปลอดภัย ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่าลืมว่า Ranger RAPTOR มีจุดขายอย่างหนึ่ง คือการทำความเร็วบนทางออฟโรดได้ดี ต่างจากกรณีของรถกระบะไฟฟ้า ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้น อย่าง Rivian R1T ที่ใช้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า สเกตบอร์ด ซึ่งมีการรวมเอาแบตเตอรี่ เข้าไปไว้ในโครงสร้างตัวถังส่วนล่าง ที่มีน้ำหนักเบาอยู่แล้ว และเป็นโครงสร้างที่มีความแข็งแรงสูง ซึ่งกลับทำให้รถ มีพลวัตในการขับขี่ที่ดีขึ้น
และการที่ Ranger Raptor มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่า Ranger รุ่นมาตรฐาน อยู่ถึงเกือบ 200 กิโลกรัม การเพิ่มน้ำหนักแบตเตอรี่เข้าไปอีก ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้า ต้องทำงานอย่างหนัก ใช้กำลังไฟมากขึ้น ส่งผลให้ระยะทางวิ่งลดลง และแน่นอนว่า จะต้องมีการชาร์จไฟบ่อยครั้งขึ้น นั่นทำให้ตลาด ที่ยังไม่มีสถานีชาร์จไฟประสิทธิภาพสูงที่เพียงพอ อาจจะไม่เหมาะกับรถกระบะประเภทนี้ และในปัจจุบัน ก็ยังมีเพียงไม่กี่ประเทศ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม หรือสามารถรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ได้ในระดับที่ถือว่าเพียงพอ
และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไม Ford อาจจะยังไม่มีการผลิต Ranger Raptor EV ออกมาจำหน่าย อย่างน้อย ก็ในช่วงหลายปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เทคโนโลยีแบตเตอรี่ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากในอนาคต แบตเตอรี่มีขนาดเล็ก และมีน้ำหนักเบาลง ในราคาที่ไม่สูงมาก เราก็อาจจะได้เห็น Ford แนะนำ Ranger Raptor EV ลงสู่ตลาด ก็เป็นไปได้ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น เราก็มีโอกาสที่จะได้เห็น Ranger Raptor Hybrid หรือ PHEV ถูกเปิดตัวออกมาก่อน รวมถึงทางเลือกเดียวกัน สำหรับ Ranger รุ่นมาตรฐาน และ Ranger EV ด้วยเช่นกัน