ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า กำลังขยับเพดานความนิยมขึ้นไปอีก เมื่อ 2 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีน อย่าง MG และ GWM ประกาศราคาใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นสำคัญ ทั้ง MG ZS EV ที่ราคาลดลงไปสูงสุด ถึง 246,000 บาท MG EP ลดลงไป 227,000 บาท ส่วน ORA Good Cat ราคาลดลงไปราว 160,000 บาท ในทุกรุ่นย่อย สร้างแรงกระเพื่อม ไปทั่ววงการรถยนต์ในขณะนี้ เพราะลูกค้าจำนวนไม่น้อย ลังเลในการตัดสินใจซื้อรถยนต์หลายรุ่น ที่ยังใช้ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ ในขณะที่ค่ายรถยนต์เจ้าตลาด อย่างค่ายญี่ปุ่นต่างๆ ดูเหมือนจะมีการตอบสนองกับมาตรการใหม่ ช้ากว่าค่ายรถยนต์จากจีนอยู่มาก อย่าง Toyota ที่เป็นขาใหญ่ของวงการ ทำได้เพียงนำรถต้นแบบ อย่าง bZ4X มาอวดโฉมในงานมอเตอร์โชว์ โดยหวังว่า จะสามารถชะลอการตัดสินใจซื้อของลูกค้าบางกลุ่มได้ จนกว่าจะมีการจำหน่ายรถรุ่นนี้ในเมืองไทย ในช่วงปลายปี
นอกจาก 2 ค่ายรถยนต์จากจีนแล้ว ยังมีค่ายรถยนต์อีกหลายค่ายจากแดนมังกร ที่เตรียมกระโจนเข้าสู่ตลาดเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเริ่มมีมาตรการสนับสนุน การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จากภาครัฐของไทย ซึ่งจีนเอง ถือว่าเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก ทำให้มีพร้อมกว่าคู่แข่งในตลาดส่วนใหญ่ เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) บริษัทในเครือของโฮซอนจากจีน ก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากซุ่มเงียบ จดทะเบียนบริษัท มาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ปี 2021 ที่ผ่านมา ด้วยทุนจดทะเบียน ถึง 110 ล้านบาท แสดงถึงความมุ่งมั่น ที่จะเข้ามาเจาะตลาดในเมืองไทยอย่างจริงจัง นอกจากนั้น บริษัทยังได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนง ขอรับสิทธิ ตามมาตรการสนับสนุน การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ไปเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ถือว่าเป็นรายที่ 3 ต่อจาก MG และ GWM
แม้ว่าชื่อของเนต้า เพิ่งจะเริ่มคุ้นหูในวงการยานยนต์ไม่นานนัก แต่ก็ต้องถือว่า เป็นบริษัทสตาร์ตอัพของจีน ที่เดินเกมได้อย่างแยบยล และอาจจะกลายเป็นผู้เล่นสำคัญ ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยอีกไม่นาน เพราะนอกจากจะมีความได้เปรียบ ในเรื่องของมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ เหมือน MG และ GWM แล้ว บริษัทนี้ยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อย่าง ปตท. ที่มีบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น ให้กับทางเนต้า คือรุ่น Neta V และ Neta U Pro ซึ่งบริษัทดังกล่าว เป็นการร่วมทุนของ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทย่อยของ ปตท.และบริษัท หลินยิ่ง อินเตอร์เนเชั่นแนล อินเวสเมนท์ จำกัด บริษัทในกลุ่มของ Foxconn Technology Group ซึ่งจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของเนต้า ทราบว่า ราคาจำหน่ายของรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 2 รุ่น จะต่ำกว่าทาง MG และ GWM อย่างแน่นอน เมื่อเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ ซึ่งคาดว่า จะมีราคาต่ำกว่า 7 แสนบาท จากราคาปกติราว 8 แสนบาท สำหรับรุ่น Neta V หลังจากได้รับเงินสนุนจากภาครัฐ ซึ่งเป็นการนำเข้ามาจำหน่ายจากจีน โดยตัวแแทนรายแรก ซึ่งก็คือ BRG โดยเปิดรับจองแล้ว ในมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ และพร้อมส่งมอบ ในเดือนมิถุนายนที่จะถึง ก่อนที่จะมีการประกอบขึ้นในเมืองไทย ในภายหลัง
Neta V เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 38.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า ทำอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 101 กม./ชม. ระยะทางวิ่งสูงสุดคือ 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC มีการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร
ห้องโดยสารภายในดูเรียบง่ายสะอาดตา และสิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คงจะเป็นจอแสดงผลระบบ infotainment ที่มีขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว มีช่องชาร์จไฟ AC แบบ Type 2 และ DC แบบ CCS ตัวรถมีความยาว 4,070 มม. กว้าง 1,690 มม. สูง 1,540 มม. ฐานล้อยาว 2,420 มม. ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
สำหรับรุ่น Neta U Pro ที่วิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 600 กม/ชาร์จ และมีการจัดแสดงในงานมอเตอร์โชว์ ยังเป็นรุ่นพวงมาลัยซ้าย คาดว่าจะเริ่มมีการทำตลาดรุ่นพวงมาลัยขวาในไทย ในช่วงสิ้นปีถึงต้นปีหน้า ทางตัวแทนจำหน่ายอย่าง BRG ตั้งเป้ายอดขาย Neta V สำหรับปีนี้ ที่ 600 คัน โดยมีให้เลือก 5 สี คือ สีฟ้าเซรามิก / สีฟ้าคราม / สีขาวไวท์สตอร์ม / สีเทา / สีชมพูซากุระ) สำหรับราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะมีการประกาศในการเปิดตัว หลังจากสิ้นสุดงานมอตอร์โชว์ไปแล้ว
สิ่งที่เชื่อว่าหลายคนอยากจะทราบ ก็คือการบริการหลังจากการขาย ที่นอกจากเครือข่ายศูนย์บริการจากทางตัวแทนจำหน่ายแล้ว Neta Auto ไทยแลนด์ ยังพิจารณาการให้บริการหลังการขาย ผ่านทางศูนย์บริการรถยนต์ Fit Auto ในเครือของ ปตท เป็นอีกหนึ่งทางเลือกไว้ด้วย ซึ่งการที่มีเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ผนวกกับเครือข่ายและการผลิตโดยบริษัทร่วมทุนกับ ปตท ทำให้ NETA เป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่น่าจะกลายเป็นมาเป็นคู่แข่งสำคัญของทั้ง MG และ GWM ซึ่งถ้าสามารถทำราคาได้ดี มีการบริการหลังการขายที่ครอบคลุมทุกจังหวัด เชื่อว่าแบรนด์ Neta น่าจะเป็นทางเลือกต้นๆของคนไทยได้ไม่ยาก อย่างน้อยก็ในช่วงแรก ที่ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น ยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควรในตลาดนี้