เมื่อ 20 ปีก่อน Ford Puma เคยโลดแล่นบนท้องถนนในยุโรปมาแล้ว ในฐานะรถยนต์สไตล์คูเป้ขับเคลื่อนล้อหน้า และมีจำหน่ายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น จนกระทั่งมีการยุติสายการผลิตในปี 2001 แต่ล่าสุด ชื่อ Puma ได้ถูกนำกลับ มาใช้ใหม่อีกครั้ง แต่ในฐานะชื่อรุ่นของรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก โดย Puma ใหม่ ถือว่าเป็นรถยนต์รุ่นที่มีรูปโฉมที่โดดเด่น และมีบุคลิกเป็นของตัวเอง มากที่สุดรุ่นหนึ่ง
Puma ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Fiesta รวมถึงดีไซน์ของเส้นสาย ที่มีลักษณะคล้ายกันในบางมุมมอง แต่ Puma สร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง ด้วยการใช้ดีไซน์กรอบไฟหน้าทรงมน ที่มาพร้อมไฟเดย์ไทม์ LED 2 เส้น ที่เป็นรูปตัว C และ L หัวกลับ ในขณะที่กระจังหน้าเหมือนกับของ Fiesta โฉมล่าสุด เพียงแต่มีการพลิกกลับ จากด้านล่างมาไว้ด้านบน
และด้วยการที่เป็นรถครอสโอเวอร์ ทำให้ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ มีมากกว่ารุ่น Fiesta ในขณะที่ทรวดทรงด้านข้าง ดูแล้วทำให้นึกถึง Honda HR-V แต่ Puma จะดูปราดเปรียวน้อยกว่า บั้นท้ายดูสปอร์ต สร้างความเป็นตัวตน ด้วยลวดลายของไฟท้ายแบบตัวอักษร C 2 ตัว หันเข้าหากัน มาพร้อมพื้นที่จุสัมภาระท้ายมากกว่า Fiesta เล็กน้อย คือที่ 456 ลิตร หรือ 16.1 ลูกบาศก์ฟุต ที่สามารถเปิดพื้นของที่เก็บสัมภาระ ที่ซ่อนเอาไว้ด้านใต้ อีกส่วนหนึ่งได้ โดยมีช่องระบายน้ำ เพื่อการชำระล้างบริเวณดังกล่าวได้ด้วย
Ford Puma ยังมาพร้อมเทคโนโลยีที่หลากหลาย โดยเฉพาะระบบความปลอดภัย ทั้งระบบ adaptive cruise control พร้อมฟังค์ชั่น stop & go ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน นอกจากนั้น ยังมาพร้อมระบบช่วยขับขี่ CoPilot360 กล้องมองหลัง มุมกว้าง 180 องศา รองรับ Apple Carplay และ Android Auto โดยไม่มีการชาร์จเงินเพิ่มแต่อย่างใด คำสั่งต่างๆ จะถูกควบคุมผ่านทางจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว กลางคอนโซลหน้า มาพร้อมชุดเครื่องเสียง และลำโพง 10 ตัว โดยมีจอแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นขนาด 12.3 นิ้ว เพิ่มความสบาย ด้วยเบาะนั่งที่มาพร้อมระบบนวดผ่อนคลาย
ขุมพลังของ Ford Puma จะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost 3 สูบ ความจุ 1.0 ลิตร ที่มาพร้อมระบบมายด์ไฮบริด ขนาด 48 โวลท์ และฟังค์ชั่น stop-start โดยให้กำลังสูงสุด 123 และ 153 แรงม้า ตามรุ่นย่อยที่เลือก โดยคาดว่าจะมีรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เปิดตัวตามมาในภายหลัง โดยรุ่นย่อยทั้งหมด จะมาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และไม่มีรุ่น AWD ให้เลือก
Ford Puma จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ Ford ในประเทศโรมาเนีย และจะเริ่มมีจำหน่ายในยุโรป ภายในสิ้นปี 2019 นี้ ส่วนราคาจำหน่าย จะมีการเปิดเผยตามมาในภายหลัง