เปิดตัว Mitsubishi Triton Barbarian X (L200) 2019-2020 ในอังกฤษ

Mitsubishi เปิดตัว Triton หรือทำตลาดในอังกฤษว่า L200 รุ่นท็อปสุด Barbarian X ในราคาเริ่มต้นที่ 32,200 ปอนด์ หรือประมาณ 1,207,000 บาท โดยเป็นรถยนต์ถูกผลิต และนำเข้าจากเมืองไทย

L200 Barbarian X จะวางจำหน่ายในตัวถังแบบ Double Cab มาพร้อมขุมพลังดีเซลเทอร์โบ MIVEC 16 วาล์ว DOHC Common Rail direct injection ความจุ 2268 ซีซี รองรับมาตรฐานมลพิษ Euro 6d ให้กำลังสูงสุด 147.5 แรงม้าที่ 3500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD-II สามารถลากจูงโหลดที่มีน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 3500 กิโลกรัม และยังมีระบบช่วยการทรงตัวรถพ่วง ที่จะตรวจจับระดับการแกว่งของรถพ่วง เพื่อที่จะควบคุมพละกำลังของเครื่องยนต์ และแรงเบรกที่ล้อแต่ละข้างให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดเสถียรภาพที่ดีกับทั้งตัวรถกระบะ และรถพ่วง

ดีไซน์ภายนอกของ L200 Barbarian X จะแตกต่างไปจากรุ่นย่อยอื่นๆเล็กน้อย ด้วยการไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ใหม่ มีไฟส่องสว่างที่ป้ายทะเบียน ครอบกระจกมองข้างสีทูโทน โครเมี่ยม-ดำ ปรับและพับไฟฟ้า ที่มาพร้อมระบบทำความอุ่นไล่ฝ้า มือจับประตูสีโครเมี่ยม พร้อมระบบ keyless entry สติ๊กเกอร์คำว่า Barbarian X ข้างตัวรถและฝาท้าย ล้ออัลลอยเป็นขนาด 18 นิ้ว

ภายในห้องโดยสาร ที่สะดุดตาที่สุด เห็นจะเป็นเบาะนั่งสไตล์สปอร์ตแบบ six pack หุ้มหนัง โดยในส่วนของคอนโซลหน้า แผงข้างประตู และส่วนต่างๆ บุด้วยวัสดุแบบ soft touch อย่างดี รวมถึงการใช้วัสดุ ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก และการสั่นสะเทือน ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดยสารอยู่ในรถเอสยูวี มากกว่ารถกระบะทั่วไป หรูหราด้วยไฟส่องสว่างสร้างบรรยากาศแบบ LED บริเวณที่วางเท้าสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า กาบบันไดพร้อมไฟเรืองแสง เพิ่มความสะดวก ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสารภายนอก ด้วยช่อง USB และ HDMI นอกจากนั้น ยังมีที่วางโทรศัพท์มือถือ และที่ชาร์จไฟบริเวณคอนโซลกลาง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

ระบบ infotainment มาพร้อมจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย รวมถึงการสตรีมมิ่งจาก Spotify และ Itunes นอกจากนั้น ยังเป็นจอแสดงผล จากกล้องมองรอบคัน 360 องศา

จนถึงปัจจุบัน ในเจนเนอเรชั่นที่ 6 Mitsubishi ได้จำหน่าย Triton หรือ L200 ไปแล้วกว่า 4.7 ล้านคันทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 1978 โดยมีอังกฤษเป็นตลาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป

Leave a Reply