ในบางตลาดอย่างออสเตรเลีย Mazda BT-50 สามารถทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ แต่สำหรับตลาดเมืองไทยแล้ว ยอดขายล่าสุด เดือนละไม่ถึง 10 คัน อาจทำให้ MAZDA หมดลุ้นกับทางเลือกที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ภายใน 5 ปีข้างหน้ารถกระบะปิกอัพรุ่นนี้อาจจะมีลุ้นกับการแจ้งเกิดในตลาดได้อีกครั้ง เมื่อบริษัทเตรียมทำตลาด BT-50 ที่มาพร้อมระบบขับคลื่อนไฟฟ้ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ที่อาจจะเป็นระบบไฮบริดหรือไฟฟ้าแบตเตอรี่ จากการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของผู้บริหารที่ยืนยันว่า รถยนต์ทุกรุ่นในโชว์รูม Mazda รวมถึง BT-50 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือเป็นระบบไฮบริดภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้มาสด้ามองว่าการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าในกลุ่มรถกระบะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และไม่คาดว่าจะนำเสนอMazda BT-50 รุ่นไฮบริดหรือไฟฟ้าได้ จนกว่าจะมีความต้องการของตลาดเกิดขึ้น
จุดยืนดังกล่าวขัดแย้งกับมาตรฐานการปล่อยไอเสียรถยนต์ใหม่ (NVES) ที่กำลังจะประกาศใช้โดยรัฐบาลกลางออสเตรเลีย ซึ่งจะกำหนดเป้าหมายระดับ CO2 ที่ผู้ผลิตรถยนต์ต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นจะต้องเสียค่าปรับ
ปัจจุบันMazda BT-50 SP ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของตลาด มีอัตราปล่อย CO2 รวม ที่ 207 กรัม/กม. ถือว่าอยู่ต่ำกว่าขีดจำกัดประเภท 2 ซึ่งอยู่ที่ 210 กรัม/กม. สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเบาในปี 2025 อย่างไรก็ตาม หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ รถรุ่นนี้จะยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยไอเสียรถยนต์ใหม่ หลังจากปี 2026 เป็นต้นไป
Vinesh Bhindi กรรมการผู้จัดการของ Mazda ออสเตรเลีย เปิดเผยกับ Drive สื่อยานยนต์ชื่อดังของออสเตรเลียว่า Mazda จะตอบสนองตลาดรถเอนกประสงค์ระบบไฟฟ้า แต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการของตลาด ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย
“ภายในปี 2030 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Mazda [ทั้งหมด] จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งรวมถึงรถยนต์ประเภทกระบะปิกอัพด้วย ซึ่งยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น”
“จากที่เราได้ข้อมูลมา เมื่อเราพูดคุยกับลูกค้าในโชว์รูม… มีสิ่งพื้นฐานบางประการ ที่พวกเขาต้องพิจารณา”
“มันจะต้องเหมาะกับจุดประสงค์การใช้งาน จะต้องมีความสามารถในการลากจูง จะต้องมีน้ำหนักบรรทุกที่น่าพอใจ จะต้องมีข้อเสนอที่คุ้มค่าและน่าสนใจ”
“หากคุณไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ การออกแบบก็ไม่สำคัญแล้ว ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
บินดี้กล่าวว่า “ผมคิดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์นี้จะพัฒนาขึ้น แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับรถ SUV และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีไฟฟ้าก็ตาม
“แต่สำหรับรถกระบะนั้น ผมคิดว่าเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมาก และเมื่อเวลาผ่านไป หากตลาดบอกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีความสำคัญ มีความจำเป็น และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เราก็จะมองหาทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับตลาด
ตลาดรถกระบะไฮบริดยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่กำลังถูกเร่งตัวขึ้น ด้วยการเปิดตัว BYD Shark 6 , JAC T9 ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)และรถปลั๊กอินไฮบริดรุ่นขายดีที่สุดในออสเตรเลียสำหรับปี 2023 อย่าง Ford Ranger PHEV
เป้าหมายของ Mazda ในปี 2030 บริษัทจะให้มีโชว์รูมเต็มรูปแบบ ที่มีทางเลือกทั้งหมดที่เป็นรถยนต์ไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้า เกิดขึ้นในอีกอย่างน้อยครึ่งทศวรรษในอนาคต หรืออีก 5 ปีข้างหน้าขึ้นไป
เมื่อถูกถามถึงทิศทางของ Mazda และมาตรฐานการปล่อยไอเสียรถยนต์ใหม่ในระหว่างนี้ Bhindi กล่าวว่าการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในออสเตรเลียอาจยังไม่แพร่หลายเพียงพอ ที่จะรับประกันการผลิตรถกระบะไฮบริดล่วงหน้าได้
“ผมไม่ทราบว่า พอถึงปี 2030 จะมีการการเปลี่ยนแปลงหรือการเติบโตของตลาดอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่”
“ผมเข้าใจว่ารัฐบาลได้จัดทำแบบจำลองที่ยังไม่ได้เผยแพร่ นอกเหนือไปจากความทะเยอทะยานว่าภายในปี 2030 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่เป็นส่วนหนึ่งของตลาด แต่จะมีตลาดอื่นใดในโลกอีก ที่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้?
“แต่ถ้าเราทำได้ ผมบอกคุณได้เลยว่า Mazda ในออสเตรเลียจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ เราจะมีรถยนต์ไฮบริด เราจะมีรถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊กมากขึ้น เราจะมีรถยนต์มายด์ไฮบริด และในขณะเดียวกันก็มี รถเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วย” นาย Bhindi กล่าว
“เราจะตอบสนองความต้องการของตลาด นั่นคือแผนของเรา ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่กฎหมาย”
ในแง่ของตลาดแล้ว ออสเตรเลียยังถือว่าเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับ BT-50 ด้วยยอดขายสะสมใน 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ 11,614 คัน โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายไปได้ 1,265 คัน ในขณะที่เมืองไทย mazda จำหน่าย bt-50 ไปได้เพียงแค่ 4คันเท่านั้น โดยมียอดขายสะสมในปีนี้ที่ 400 คัน แม้ว่าในทางเทคนิคแล้ว จะเป็นรุ่นที่ผลิตร่วมกับ ISUZU D-MAX ก็ตาม น่าสนใจว่า หาก ISUZU สามารถทำตลาด D-MAX MHEV ได้น่าพอใจ คือมีความต้องการของตลาดอยู่จริง MAZDA จะยังสานต่อความสัมพันธ์กับ ISUZU ในการผลิต BT-50 รุ่นมายด์ไฮบริดเหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือไม่