BYD มั่นใจ สามารถล้มเจ้าตลาดรถกระบะปิกอัพในออสเตรเลียได้ทุกราย จากการมีทุกอย่างที่เหนือกว่า หากตลาดนี้ทำสำเร็จ การแข่งขันตลาดในเมืองไทยก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย
BYD เชื่อมั่นว่าสามารถเอาชนะใจผู้ที่สนใจซื้อ Toyota และ Ford เจ้าตลาดรถกระบะในประเทศออสเตรเลีย ด้วย SHARK 6 รถกระบะทางเลือกใหม่ ระบบขับเคลื่อน plug-on hybrid ที่มีเอกลักษณ์ ราคาถูก และอ็อปชั่นที่ครบครันกว่า
BYD มั่นใจว่ารถ กระบะไฮบริดปลั๊กอิน Shark 6 รุ่นปี 2025 จะมีความพิเศษเพียงพอที่จะทำให้ผู้ซื้อหันหลังให้กับรถกระบะปิกอัพ Double cab รุ่นยอดนิยมอย่าง Toyota HiLux และ Ford Ranger โดยบริษัทเตรียมสร้างความฮือฮาในตลาดรถกระบะของประเทศออสเตรเลียในสัปดาห์หน้า
โดยทั่วไปแล้วลูกค้าของรถรถกระบะปิกอัพ มักจะมีความภักดีต่อแบรนด์และยังคงซื้อรุ่นล่าสุดจาก Ford , Toyota , Isuzu , Mitsubishi หรือแม้แต่ Nissan ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีรถรุ่นใดอยู่ในปัจจุบัน แต่ David Smitherman ซีอีโอของ EVDirect ผู้นำเข้าของ BYD ในออสเตรเลีย หวังที่จะเปลี่ยนความคิดของกลุ่มคนดังกล่าวด้วย BYD Shark 6
Shark 6 ซึ่งเป็นรถกระบะไฮบริดแบบเสียบปลั๊กรุ่นแรกของออสเตรเลีย มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และแบตเตอรี่ขนาด 29.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 100 กม. และวิ่งแบบไฮบริดได้ระยะทางทั้งหมดประมาณ 800 กม.เมื่อเทียบกับตลาดรถกระบะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเป็นหลัก ซึ่งมีรถรุ่นขายดีสามรุ่นในออสเตรเลียครองตลาดอยู่ ได้แก่Ford Ranger , Toyota HiLux และ Isuzu D- Max
Shark 6 ยังมาพร้อมรายการอุปกรณ์ที่ครอบคลุม และคาดว่าจะมีราคาที่แข่งขันได้ โดยเริ่มต้นต่ำกว่า 60,000 เหรียญสหรัฐหรือราว 2,020,000 บาท ที่ยังไม่รวมค่าจดทะเบียนและภาษีใช้รถของออสเตรเลีย ซึ่ง BYD จะยืนยันราคา Shark 6 ในประเทศออสเตรเลียในวันอังคารที่ 29 ตุลาคม ในงานเปิดตัวรุ่นนี้อย่างเป็นทางการที่เมืองโบรเคนฮิลล์ รัฐนิวเซาท์เวลส์
ตามที่ Smitherman ระบุ ปัจจัยเหล่านี้เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ผู้ซื้อละความสนใจจากรถกระบะรุ่นกระแสหลักมากขึ้น
เขาย้ำว่า “แน่นอน มันเป็นเรื่องของคุณสมบัติและประโยชน์ของรถยนต์”
“ลองดูเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ในรถ และจุดสัมผัสต่างๆดูสิ แล้วสิ่งที่คุณจะเห็นเมื่อขับรถคันนี้ มันคือความหรูหรา”
“แน่นอนว่าเรื่องค่าใช้จ่ายและการประหยัดนั้น… มันเป็นสิ่งที่ทุกคนกังวล และถ้าหาก คุณขับรถคันนี้แบบที่ผมทำ ที่ขับขี่ไปมาระหว่างบลูเมาน์เทนส์และซิดนีย์ทุกวัน…คุณจะเข้าใจได้ดี เพราะ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเลย”
“และมันจะส่งผลต่อครอบครัวชาวออสเครเลียทั่วไปอย่างไรบ้าง? มันน่าจะช่วยให้พวกเขาประหยัดเงินไปได้ 150 เหรียญต่อสัปดาห์ เพราะรถกระบะเครื่องยนต์ทั่วไปกินน้ำมันมากและก็ยังก่อมลพิษทางเสียงอีกด้วย
“ดังนั้น คุณจะได้รับประโยชน์จากการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยตรง และหากเราพิจารณาถึงพื้นที่ที่ใช้สำหรับรถยนต์ขององค์กร จะเห็นได้ว่ามันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บรถยนต์ได้อย่างมากรวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้วย
“จะมีคนจำนวนมากที่ขับรถรุ่นนี้ในโหมดไฟฟ้าล้วน ชาวออสเตรเลียทั่วไปขับได้วันละ 33 กิโลเมตร ซึ่งรถรุ่นนี้ทำได้ดีกว่านั้นมาก
“แต่ชาวออสเตรเลียชอบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พวกเขาชอบเทคโนโลยีใหม่ สินค้านี้มีเทคโนโลยีใหม่ ช่วยประหยัดค่าครองชีพ มีรูปลักษณ์สวยงาม และใช้งานได้ดี”
แม้ว่า Smitherman จะไม่คาดหวังยอดขายของ Shark 6 แต่ BYD ก็เตรียมสต็อกรถยนต์ไว้ในปริมาณมาก ก่อนที่การยกเว้นภาษีสำหรับรถยนต์แบบ PHEV สำหรับลูกค้าที่เช่าซื้อแบบแปลงหนี้ใหม่จะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายนปี 2025 ในขณะเดียวกัน ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ก็ได้รับการจูงใจในรูปแบบต่างๆจากรถยนต์แบรนด์จีนเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ในตลาดรถ 4×4 กลุ่มเป้าหมายอาจจะหันไปหา BYD เป็นจำนวนมาก แต่กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า Shark 6 จะประสบความสำเร็จเหนือผู้เล่นชื่อดังได้แค่ไหน ซึ่งความเคลื่่อนไหวของตลาดรถกระบะในประเทศออสเตรเลีย ในฐานะที่เป็นตลาดรถปิกอัพขนาดกลาง อันดับ 2 ของโลกรองจากไทย ที่มีโอกาสแซงขึ้นมาเป็นที่ 1 ได้ในอนาคต หากตลาดรถยนต์ของไทยยังซบเซาแบบนี้ต่อไป ซึ่งการเสียส่วนแบ่งของเจ้าตลาดรถกระบะในออสเตรเลีย ย่อมหมายถึงยอดส่งออกรถยนต์ของไทยที่จะลดลงตามไปด้วย อีกอย่าง BYD เลือกที่จะทำตลาดรถขุมพลังไฮบริด แทนที่จะเป็นระบบไฟฟ้าล้วนที่ตัวเองถนัด ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะหลายคน ยังลังเลที่จะใช้รถกระบะไฟฟ้าแบตเตอรี่ ในขณะที่การเติบโตขชองตลาดกระบะไฟฟ้าล้วน BYD สามารถรอดูกระแสตลาด จากผลตอบรับของตลาดของคู่แข่งรายอื่นๆไปก่อนได้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20พฤศจิกายนนี้ วันที่ ISUZU จะเริ่มจำหน่าย D-MAX MHEV ในประเทศไทย หลังจากนั้น เราน่าจะได้เห็นภาพการแข่งขันในตลาดรถกระบะไฮบริดที่ชัดเจนมากขึ้น