2025 Ford Maverick Lobo

เปิดตัว 2025 Ford Maverick ใหม่ ไฮบริดมี AWD เพิ่มรุ่นย่อย Tremor / Lobo จะทำยอดในไทยต้องขายรุ่นนี้?

สำหรับตลาดเมืองไทยแล้ว Ford มียอดขายในครึ่งแรกของปี 2024 เป็นอันดับ 6 คืออยู่ที่ 11,307 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึง 43.8% มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 3.7% แน่นอนว่ายอดขายส่วนใหญ่มาจากรถกระบะขนาดกลางอย่าง Ranger ซึ่งทำได้ที่ 7,019 คัน คิดเป็น 62% ของยอดขายทั้งหมดในปีนี้ โจทย์ที่รออยู่ข้างหน้าจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ Ford จากสภาพเศรษฐกิจที่กำลังซื้อหดตัว และสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ การกระตุ้นตลาดด้วยจำนวนรถยนต์ ที่มีอยู่น้อยรุ่นและราคาไม่ถูก จึงทำให้การขยายตลาดเป็นไปได้ยากในสภาพการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตาม ในตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่เช่นสหรัฐอเมริกา Ford มีทางเลือกที่หลากหลายกว่ามาก โดยเฉพาะในตลาดรถกระบะปิกอัพ ซึ่ง Ford เป็นเจ้าตลาดทั้งรถกระบะขนาดใหญ่ และรถกระบะขนาดเล็ก ที่เพิ่งมีการสร้างเซกเมนต์ใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และ Ford ก็ทำได้ดีในเรื่องยอดขาย โดยล่าสุด ได้เปิดตัวรถกระบะเล็กอย่าง Maverick รุ่นปี 2025 ที่มาพร้อมการอัพเกรดในหลายๆด้าน รวมถึงเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ด้วย

Ford Maverick ปี 2025 มาพร้อมด้านหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ และภายในที่ได้รับการอัพเกรดและปรับปรุงใหม่ อีกทั้งยังมีการเพิ่มแพ็คเกจรุ่น Tremor ที่เป็นรุ่นตกแต่งอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย
ระบบขับเคลื่อนไฮบริดเบนซิน 4 สูบความจุ 2.5 ลิตรยังมีอ็อปชั่นเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่เพิ่มความสามารถในการลากจูงสูงสุดเป็น4,000 ปอนด์ หรือ 1814 กิโลกรัม
Mavericks ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมกับหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสที่ใหญ่ขึ้น เป็นขนาด 13.2 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Autoแบบไร้สาย

Ford Maverick กำลังเข้าสู่ปีที่สี่ของการผลิต ด้วยวิวัฒนาการด้านรูปลักษณ์ เทคโนโลยีที่อัปเดต และความสามารถที่เพิ่มขึ้นสำหรับรุ่นไฮบริด รถกระบะขนาดกะทัดรัดรุ่นนี้ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ที่ได้เปิดตัวในปี 2022 ล่าสุด ด้วยรุ่นปรับโฉมใหม่ Ford มุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าของ Maverick ด้วยการเพิ่มอ็อปชั่นในด้านเทคโนโลยีให้มากขึ้นและขยายไลน์อัพด้วยรุ่นใหม่ Tremor

การเปลี่ยนแปลงหลักเกิดขึ้นกับเวอร์ชั่นไฮบริด ซึ่งตอนนี้สามารถเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้ในรุ่นย่อย XL, XLT และ Lariat โดยฟอร์ดระบุว่านี่คือข้อเรียกร้องอันดับหนึ่งจากกลุ่มลูกค้า นอกจากจะเพิ่มอ็อปชั่นที่เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว Mavericks เวอร์ชั่นไฮบริด ยังสามารถเพิ่มอ็อปชั่นด้านสมรรถนะในการลากจูงได้ด้วย ที่ให้สมรรถนะในการลากจูงที่ 4,000 ปอนด์จากเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จสี่สูบ ระบบขับเคลื่อนที่มีให้เลือกของ Maverick ยังคงประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 191 แรงม้าที่เป็นเป็นมาตรฐาน รวมทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตรที่เป็นอ็อปชั่น ที่ตอนนี้กำลังสูงสุดลงจาก 250 เหลือ 238 แรงม้า

การเปลี่ยนแปลงในด้านรูปลักษณ์ของ Maverick ได้รับการปรับแต่งให้มีความแตกต่างกันมากขึ้นระหว่างรุ่นย่อยต่างๆ ไฟหน้าได้รับการตกแต่งด้วยชิ้นงานสีดำ โดยในรุ่นสูงสุดด้านบนมีไฟเดย์ไทม์ LED ส่วนกันชนหน้าถูกขยายขึ้นไปถึงบริเวณโคมไฟหน้าซึ่งมีรูปร่างเหมือนเลข “7” อย่างไรก็ตาม แต่ละรุ่นย่อยมาพร้อมกับการออกแบบกระจังหน้าที่ไม่ซ้ำใคร และการเปลี่ยนแปลงโดยรวมทำให้ Maverick ดูสดใหม่แต่ก็ยังดูคุ้นตาเหมือนเดิม

ภายในห้องโดยสารนั้น ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ระบบสัมผัสแบบใหม่ ซึ่งขยายขนาดจาก 8.0 นิ้วไปเป็น 13.2 นิ้ว ซึ่งถือว่าใหญ่ขึ้นมาก มาพร้อมระบบ Sync 4 ของ Ford โดยรองรับระบบปฏบัติการทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่นี้ยังรองรับการเชื่อมต่อ WiFi แบบ 5G ที่ทำให้ Maverick สามารถอัปเดตโปรแกรมแบบ over the air ได้

การอัพเกรดทางเทคโนโลยีสมบูรณ์แบบด้วยการเพิ่มกล้องมองรอบคัน 360 องศา รวมถึงระบบควบคุมรถพ่วง Pro Trailer Hitch Assist และ Pro Trailer Backup Assist ของ Ford ระบบช่วยควบคุมรถพ่วงและช่วยสำรองเป็นอ็อปชั่นในรุ่น XL และ XLT แต่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Lariat และ Tremor รุ่นท็อปยังมาพร้อมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันและระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนเป็นมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ทั้งไลน์อัพถือว่ามาพร้อมระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ครบครันแล้ว

นอกจากMAVERICK รุ่นข้างต้นแล้ว Ford ยังเปิดตัว Maverick Lobo ซึ่งเป็น street version โหลดเตี้ยเพิ่มสมรรถนะ เข้ามาให้เป็นทางเลือกอีกด้วย

Lobo ยังคงใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 4 สูบแบบมาตรฐานที่พละกำลังสูงสุดะถูกปรับลงสำหรับปี 2025 โดยในตอนนี้ให้กำลังสูงสุด 238 แรงม้า ลดลงจาก 250 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดได้ถูกยกเลิกไป และระบบเกียร์อัตโนมัติ 7สปีดที่นำมาจาก Focus ST รถแฮทช์แบ็กของยุโรปได้เข้ามาแทนที่ โดยมีการปรับแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับรุ่น Lobo มาพร้อม paddle shifter ที่ช่วยเพิ่มความสนุกในแบบสปอร์ตให้กับการขับขี่ ระบบระบายความร้อนน้ำมันและระบบส่งกำลังสำหรับอุปกรณ์ลากจูง 4,000 ปอนด์ ได้รับการอัพเกรดมาให้ด้วย

การอัพเกรดในส่วนของอุปกรณที่ช่วยในการขับขี่ ได้ถูกนำมาจากรถยนต์รุ่นอื่นๆเช่น แร็ควงมาลัยจากรุ่น Kuga ของยุโรป ในขณะที่คาลิเปอร์เบรกแบบลูกสูบคู่มาจากFocus ST

ระบบกันสะเทือนถูกปรับแต่งมาโดยเฉพาะสำหรับ Lobo โดยได้ลดความสูงของตัวรถลง 0.5 นิ้วที่ด้านหน้า และ 1.1 นิ้วที่ด้านหลัง ทำให้ความสูงของหลังคาลดลง 0.8 นิ้ว ส่วนเบ้าโช้คอัพนั้นนำมาจาก Mustang Mach-E และโช้คอัพแบบโมโนทูบที่ด้านหลังนั้น มาจากMaverick Tremor แม้ว่าระบบทั้งหมดจะได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับ Maverick Lobo ก็ตาม

การเปลี่ยนแปลงในด้านสมรรถนะที่สำคัญที่สุด จะมาจากการควบคุมแรงบิดและการควบคุมเสถียรภาพที่ลดลง ซึ่งจะเปิดใช้งานผ่านโหมดการขับขี่ใหม่ของ Lobo โหมด Lobo มีไว้สำหรับการขับขี่ในสนามปิด และจะใช้ชุดขับเคลื่อนด้านหลังแบบคลัตช์คู่ รุ่น Sport แรงบิดที่เพิ่มขึ้นไปยังล้อด้านนอกและการควบคุมการยึดเกาะที่ลดลง จะช่วยให้ Lobo ขับบนไหล่ทางได้สบายๆ หากสภาพถนนเอื้ออำนวย

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์ด้วย Lobo มาพร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้วเป็นมาตรฐาน ซึ่งชวนให้นึกถึงล้อ OZ Racing ที่ใช้กับรถแรลลี่รุ่นพิเศษของ Ford อย่าง Escort RS Cosworth เช่นเดียวกับ Maverick ปี 2025 รุ่นอื่นๆ Lobo มีแผงหน้าปัดที่เป็นเอกลักษณ์ กันชนและขอบชายข้างได้รับการพ่นสีให้เข้ากับสีตัวถังและตัดกันกับหลังคาสีดำ ภายใน Lobo ใช้การเย็บตะเข็บสีน้ำเงิน Grabber Blue และสีเขียว Electric Lime พร้อมพิมพ์ลายบนพนักพิง ซึ่ง Ford กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจจากรถแนว street

การอัพเกรดของ Ford Maverick รุ่นปี 2025 มาพร้อมกับราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น รุ่นพื้นฐาน XL เริ่มต้นที่ 27,890 ดอลลาร์ หรือ 985,000 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,375 ดอลลาร์ หรือ 84,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยรุ่นสูงสุดคือ รุ่น Tremor เริ่มต้นที่ 41,390 ดอลลาร์ หรือ 1,460,000 บาท การเปิดจอง Maverick โฉมใหม่ ได้เริ่มในวันที่ 1 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนการสั่งจอง Maverick Lobo เช่นกัน โดยคาดว่าจะเริ่มส่งมอบได้ในช่วงต้นปี 2025 โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือรุ่นมาตรฐานเริ่มต้นที่ 36,595 ดอลลาร์ หรือ1,290,000 บาท และรุ่นไฮ เริ่มต้นที่ 42,090 ดอลลาร์หรือ 1,486,000 บาท ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น พวงมาลัยและเบาะนั่ง มาพร้อมระบบทำความอุ่น และแผ่นรองพื้นกระบะแบบพ่นสี