ISUZU ไม่หวั่น สถานะยังแข็งแกร่ง เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง แม้กำลังซื้อรถปิกอัพในไทยตกฮวบ

ในขณะที่ TOYOTA มีทางออกจากการบุกตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจีน ด้วยการมุ่งเน้น ไปที่การทำตลาดรถยนต์ไฮบริด ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทมานาน คู่แข่งอันดับ 1 ในเมืองไทยอย่าง ISUZU ที่ตอนนี้ กำลังได้รับผลกระทบอย่างมาก ในตลาดรถกระบะปิกอัพอันดับ 1 ของโลกอย่างเมืองไทย ก็ยังอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง และพร้อมเดินหน้าเต็มสูบ

สื่อดังของญี่ปุ่น Nikkei Asia รายงานว่า อีซูซุ มอเตอร์ส อยู่ภายใต้แรงกดดันในตลาดที่สําคัญอย่างประเทศไทย ที่มีเงื่อนไขการกู้เงินซื้อรถที่เข้มงวดขึ้น กําลังบีบคั้นกลุ่มผู้ซื้อรถกระบะ จนทำให้มีปัญหาในการออกรถ

ยอดขายรถยนต์ใหม่ของไทยลดลง 21% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นเดือนที่ 11 ที่ยอดขายลดลงติดต่อกัน รถบรรทุกขนาดเล็ก ยานพาหนะที่เป็นเหมือนแรงผลักดันของตลาดรถยนต์ไทย ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา

รถกระบะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของยอดขายรถยนต์ในประเทศไทย เป็นที่นิยมในพื้นที่ชนบทและในหมู่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก Isuzu D-Max ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 40%

แต่ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยอยู่ที่ประมาณ 2.7% เมื่อเทียบกับน้อยกว่า 1% ในเดือนมีนาคม 2020 ผู้ซื้อจึงประสบปัญหาในการค้ำประกันสินเชื่อ นั่นจึงส่งผลกระทบต่อ Isuzu ซึ่งพึ่งพาประเทศไทย มากกว่า 30% ในด้านยอดขายรถกระบะและยานพาหนะที่เกี่ยวข้อง

ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายนี้คาดว่า จะขายรถยนต์รุ่นดังกล่าวในประเทศไทยได้ประมาณ 90,000 คันภายในสิ้นปีงบประมาณในเดือนมีนาคม ปีหน้า 2025 ลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และอยู่ที่เพียงครึ่งหนึ่งของระดับสูงสุดที่เคยทำมา นอกจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแล้ว อีซูซุยังจะเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งจีนอย่าง Great Wall Motor และ Geely

กําไรจากการดําเนินงานของกลุ่มบริษัท Isuzu คาดว่าจะลดลง 11% ในปีงบประมาณนี้ เหลือเป็น 260,000ล้านเยน (1,660 ล้านดอลลาร์) การตกต่่ำของตลาดรถกระบะถูกมองว่า ทำให้กําไรลดลง 39,500 ล้านเยน มีนัยยะมากกว่าทั้งยอดขายที่เพิ่มขึ้น การขึ้นราคา และการลดต้นทุนสําหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในญี่ปุ่น

ถึงกระนั้น อีซูซุก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งกว่าในช่วงหลังวิกฤตการเงินโลก ปี 2008 หรือในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ที่ต้องดิ้นรนกับยอดขายที่ลดลง ภาระหนี้สินที่หนักหน่วง และเงินเยนที่แข็งค่า

อัตราส่วนทุนของผู้ถือหุ้นของ isuzu ดีขึ้นจากตัวเลขเพียงหลักเดียวราว 45% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด มีมากกว่า 1.5 ล้านล้านเยน แซงหน้าทั้ง Hino Motors, Mazda Motor และ Mitsubishi Motors

อีซูซุรับรู้อัตราส่วนทางการเงิน Return on equity ที่ 12.7% ในสิ้นปีงบประมาณในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่สามที่มีตัวเลขสองหลัก ตัวเลขนี้ไม่ไกลจากตัวเลขของโตโยต้ามอเตอร์ซึ่งทำได้ที่ 15.8% และสูงกว่าทั้งฮอนด้ามอเตอร์และนิสสันมอเตอร์ การเติบโตของตลาดเกิดใหม่และเงินเยนที่อ่อนค่าได้ส่งแรงหนุนให้เกิดขึ้น

ในขณะนี้ Isuzu คาดว่าจะมุ่งเน้นไปที่การบริหารความเสี่ยงต่อผลประกอบการในไทย บริษัทมีสต็อกรถกระบะที่ตัวแทนจําหน่ายสำหรับระยะเวลาห้าเดือน นับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าช่วงปกติถึงสามเดือน บริษัทจะชะลอสายการผลิตบางส่วนให้เหลือกะเดียวเพื่อลดสต็อกส่วนเกิน

อุปสงค์ในประเทศไทย จะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณนี้ แต่จะฟื้นตัวขึ้นในระยะกลาง” ชินสุเกะ มินามิ ประธานบริหารบริษัทกล่าว

อีซูซุยังมองหาทางเพิ่มผลกำไรในอนาคตที่ประเทศไทย วิธีหนึ่งคือการขยายบริการหลังการขายสําหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทํามาแล้วในตลาดญี่ปุ่น ยานพาหนะเหล่านี้มักจะมีการใช้งานเป็นเวลา 10 ถึง 15 ปีและมีการใช้งานอย่างหนักด้วย ดังนั้นโดยทั่วไป จึงจะต้องมีการบํารุงรักษาและตรวจเช็ครถมากขึ้น บริการดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 40% ของกําไรจากการดําเนินงานของ Isuzu บริษัท หลักทรัพย์ UBS Securities ประเทศญี่ปุ่น คาดการณ์

อีซูซุยังจะรุกเข้าสู่เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติและรถยนต์ไฟฟ้า

บริษัทประกาศการลงทุนมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ใน Gatik สตาร์ทอัพรถบรรทุกไร้คนขับในสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีแผนสําหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกและรถโดยสารไร้คนขับระดับ 4 ในญี่ปุ่นและอเมริกาเหนือ ยานพาหนะขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 สามารถขับขี่อัตโนมัติได้อย่างเต็มที่ ภายใต้เงื่อนไขที่กําหนด

อีซูซุตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายได้ถึง 80% เป็น 6 ล้านล้านเยน และเพิ่มกําไรจากการดําเนินงานเป็นสองเท่า ให้ได้อย่างน้อยอีก 10% ภายในสิ้นปีงบประมาณในเดือนมีนาคม ปี 2031 เมื่อเทียบกับปีงบประมาณที่แล้ว

ราคาหุ้นของอีซูซุเพิ่มขึ้น 13% จากสิ้นปี 2023 ตามหลังค่าเฉลี่ยของหุ้น Nikkei ที่เพิ่มขึ้น 17% หุ้นของบริษัทซื้อขายที่กําไรต่อหุ้นล่วงหน้า 9.5 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของภาคยานยนต์

“มันจะไม่มีการเติบโต หากยังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับที่เราอยู่ในตอนนี้” Masanori Katayama ประธานกรรมการบริษัทกล่าว ในงานแห่งหนึ่งเมื่อ เดือนเมษายนที่ผ่านมา “เราจำเป็นจะต้องเสี่ยงและหิวกระหายโอกาสทางธุรกิจอยู่เสมอ”