ในปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าถือว่าเป็นทางเลือกที่ได้รับการยอมรับในเมืองไทยอย่างกว้างขวางไปแล้ว และตลาดก็มีการขยายตัวเป็นอย่างมาก ในช่วง 1-2 ปีหลัง สวนทางกับตลาดรถกระบะปิกอัพ ที่หดตัวลงเป็นประวัติการณ์ จนอาจจะเป็นเหตุผลทำให้ผู้เล่นรายใหม่ ที่เคยคิดจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้ อย่าง Peugeot ยังไม่มีท่าทีจะเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ ตามที่เป็นข่าวมาก่อน อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรง และการเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กินส่วนแบ่งเกือบครึ่งหนึ่งของตลาด ทำให้หลายคน จับตาการมาถึงของรถกระบะปิกอัพไฟฟ้า โดยเฉพาะทางเลือกจากค่ายรถยนต์สัญชาติจีน ซึ่งจะว่าไปแล้ว ในปัจจุบันมีทางเลือกอยู่พอสมควร เพียงแค่รอเวลาในการเริ่มต้นเท่านั้น และดูเหมือนว่า โอกาสเริ่มมีมากขึ้น เมื่อทางเลือกแรก เป็นรถกระบะไฟฟ้า ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนมากกว่า 60% และมีนโยบายทำตลาดทั่วโลก ส่วนอีกรายหนึ่ง เป็นแบรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองไทย และเพิ่งมีข่าวการทดสอบรุ่นพวงมาลัยขวา ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด คนไทยก็น่าจะมีโอกาสขับรถกระบะรุ่นนี้ในอนาคต
รถกระบะปิกอัพไฟฟ้ารุ่นแรก ที่ล่าสุดมีการประกาศทำตลาดทั่วโลก ก็คือ Radar RD6 EV จากค่าย Geely ที่มีการลงทุนเพิ่มเติมในมาเลเซีย เพื่อทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยบริษัทเตรียมเปิดตัว Radar RD6 EV รุ่น 4WD ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ จากที่เคยเปิดตัวรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังไปแล้วที่ประเทศจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2022 อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกที่เป็นรถกระบะไฟฟ้าไม่มากนัก เพราะแบรนด์ส่วนใหญ่ในตลาด ยังใช้ระบบขับเคลื่อน ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ บางรุ่นอย่าง MG Extender ก็มีการทำตลาดในเมืองไทยด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป้าหมายในด้านยอดขาย ถูกตั้งเอาไว้ที่เฉลี่ยเดือนละ 1,600 กว่าคัน แต่ในปัจจุบัน กลับทำได้เพียงเดือนละไม่ถึง 100 คัน
Radar RD6 EV อาจจะเป็นแบรนด์รถกระบะไฟฟ้า ที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่นๆ ซึ่งมักจะมีการพัฒนาเวอร์ชั่นไฟฟ้า ด้วยการต่อยอดมาจากเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน คือ RD6 ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นรถกระบะไฟฟ้ามาตั้งแต่ต้น และในตอนนี้ ก็มีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ที่ทำตลาดภายใต้แบรนด์ RADAR ซึ่งถูกวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ มากกว่าที่จะเน้นการใช้งานในเชิงพาณิชย์ โดย RD6 ใช้แพลตฟอร์ม Multiplex Attached Platform หรือ MAP ที่เป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าโดยเฉพาะ ซึ่งได้ถูกพัฒนามาจากแพลตฟอร์ม Sustainable Experience Architecture (SEA) ของ Geely ที่มีใช้กับเวอร์ชั่นไฟฟ้าของแบรนด์ในเครือ อย่าง Zeekr Smart และ Lotus
ความน่าสนใจของ RADAR RD6 ก็คืออัตราเร่ง ที่ใกล้เคียงกับรถกระบะไฟฟ้าชื่อดัง อย่าง TESLA Cybertruck โดยสามารถทำความเร็วจาก 0-100 ภายในเวลาเพียง 4 วินาทีเท่านั้น ในขณะที่มีการบรรทุกสัมภาระน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมอยู่ด้วย แต่ทาง หลิงชือฉวน CEO ของ RADAR ไม่ได้ระบุตัวเลขที่แน่นอนในระหว่างการแถลงข่าว โดยเขายังระบุอีกว่า RD6 4WD สามารถลุยน้ำได้ลึกกว่ารถสไตล์ off-road ชื่อดัง อย่าง Hummer EV อีกด้วย คือมากกว่าระดับ 803 มิลลิเมตร
ในด้านสมรรถนะ RADAR RD6 รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 200 กิโลวัตต์ ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาดต่างๆคือทั้งขนาด 63 86 และ 100 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด ที่ 410, 550 และ 632 กิโลเมตร ตามลำดับ แต่คุณสมบัติทางเทคนิคเพิ่มเติมของรุ่น 4WD ยังไม่มีการเปิดเผย แต่คาดว่า ในส่วนของแบตเตอรี่ที่ใช้ น่าจะเป็นขนาดเดียวกันกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง หรืออาจจะเหมือนกับที่ใช้ในเวอร์ชั่น 4WD ของ Zeekr 001 โดยมีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาที่ล้อคู่หน้า สำหรับแพลตฟอร์มดังกล่าว สามารถรองรับแบตเตอรี่ได้ขนาดสูงสุด 140 กิโลวัตต์ชั่วโมง นั่นก็อาจจะเป็นไปได้ว่า รุ่น 4WD จะมาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และที่เหนือกว่ารุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อก็คือ น้ำหนักบบรรทุกที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ 400-430 กิโลกรัม ขยับขึ้นไปเป็น 865 กิโลกรัม ความสามารถในการลากจูงก็เพิ่มขึ้นจาก 2.5 ไปเป็น 3 ตัน โดยรถกระบะไฟฟ้ารุ่นนี้ ยังสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ด้วยกำลังไฟสูงสุด 6 กิโลวัตต์ จากเอาท์เล็ตจ่ายไฟที่กระบะท้าย ทั้งขนาดแรงดันไฟ 12, 220 และ 380 โวลต์ และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น 4WD ก็คือ ความสามารถในการจ่ายไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้าคันอื่นๆด้วย
ในปี 2023 ที่ผ่านมา RADAR มีส่วนแบ่งทางการตลาดรถกระบะไฟฟ้าในประเทศจีนมากถึง 61.5% เลยทีเดียว และในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา RADAR ได้ส่งออก RD6 ไปทำตลาดในต่างประเทศแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มีการจำหน่ายใน สปป ลาว และเริ่มส่งออกไปยังตลาดอเมริกาใต้ในปลายปี 2023 ที่ผ่านมา และในปี 2024 นี้ บริษัทมีแผนในการส่งออก RADAR RD6 ไปจำหน่ายในตลาดอื่นๆทั่วโลก
รถกระบะไฟฟ้าแบรนด์หนึ่งที่ได้รับการจับตามองมานาน ก็คือ BYD Pickup ที่มีภาพ spy shot ขับทดสอบหลายต่อหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมา เป็นรุ่นพวงมาลัยซ้าย เลยทำให้ตลาดที่ใช้รถพวงมาลัยขวา รวมถึงไทย ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่ล่าสุด สื่อยานยนต์ของจีนหลายแห่งยืนยันแล้วว่า BYD กำลังทำการทดสอบรถปิกอัพไฟฟ้ารุ่นพวงมาลัยขวาแล้ว พร้อมมีภาพห้องโดยสารภายในที่เป็นรุ่นพวงมาลัยขวาถูกเผยแพร่ออกมาด้วย และเตรียมส่งไปจำหน่ายประเทศออสเตรเลีย และประเทศในแถบอเมริกาใต้เร็วๆนี้
BYD ได้ทำการวิจัยและพัฒนารถกระบะมานานหลายปี หลายเดือนก่อน ได้มีภาพสิทธิบัตรของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ซึ่งรูปโฉมที่ใครได้เห็น ก็จะทำให้นึกไปถึงรถกระบะแบรนด์ยอดนิยมอย่าง Ford ยิ่งใกล้การเปิดตัวมากขึ้นเท่าไร ภาพ spy shot ต่างๆ ก็หลุดออกมาให้เราได้เห็นมากขึ้นเท่านั้น เหมือนเป็นการส่งสัญญาณในทางอ้อมว่า การจำหน่ายกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งสื่อต่างๆของจีน อ้างว่า BYD เตรียมทำตลาดรถกระบะปิกอัพไฟฟ้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ 2024
ห้องโดยสารภายในแสดงให้เห็นตำแหน่งของพวงมาลัย ที่มาพร้อมจอแสดงผลกลางแบบลอยตัวขนาดใหญ่ ซึ่งนำมาจากรถสไตล์ออฟโรดจาก BYD รุ่น Leopard 5 ที่อาจจะสะท้อนถึงความใกล้เคียงในเรื่องของคุณสมบัติทางด้านเทคนิค โดยคาดว่ารถกระบะไฟฟ้ารุ่นนี้จะมาพร้อมระบบ HUD รวมถึงระบบ AR จาก Huawei ด้วย จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีข้อมูลในเรื่องของระบบขับเคลื่อน แต่มีข่าวมาก่อนแล้วว่า BYD จะทำตลาดทั้งในรุ่น PHEV และ BEV รวมถึงข่าวลือว่าจะมีการติดตั้งระบบกันสะเทือนแปรผันไฮดรอลิค ที่เรียกว่า DiSUS-C จากภาพชัดเจนว่า รถกระบะ BYD จะทำตลาดในรุ่น Double Cab 5 ที่นั่ง เป็นอย่างน้อย
การเปิดตลาดรถกระบะไฟฟ้าแบตเตอรี่หรือไฮบริดในเมืองไทย ไม่ใช่เรื่องของคำถามที่ว่า จะเกิดขึ้นหรีอไม่ แต่เป็นเรื่องของช่วงเวลาว่าเมื่อไร คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้รถกระบะประเภทนี้มากกว่า และนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเกมการแข่งขัน ในตลาดรถกระบะปิกอัพที่เปลี่ยนไปของไทย หากการตอบรับทางเลือกนี้ออกมาดี เหมือนกับที่คนไทยตอบสนองในตลาดรถยนต์นั่งไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม เจ้าตลาดอย่าง ISUZU และ TOYOTA ก็คงเตรียมตั้งรับกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้อยู่แล้ว โดย TOYOTA เอง ก็มีทางเลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบตเตอรี่ ไปจนถึงขุมพลังไฮโดรเจนฟิวเซลล์ ในขณะที่ ISUZU เตรียมแถลงข่าวเกี่ยวกับนโยบายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในช่วงกลางเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ งานนี้คนไทยต้องจับตาดูตลาดนี้ให้ดี เพราะเราอาจจะได้เห็นผู้เล่นรายใหม่ๆจากจีน เข้ามาทำให้ตลาดมีการแข่งขันกันดุเดือดมากขึ้นไปอีก เพราะใครๆก็อยากมีส่วนแบ่งจากตลาดรถยนต์ที่เป็นเซกเมนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ