แม้ว่าตลาดรถกระบะขนาดกลาง Toyota Hilux Revo อาจจะเสียแชมป์ให้กับ Isuzu D-MAX ไปกว่า 3 ปีมาแล้ว และสถานการณ์น่าจะเป็นแบบนี้ ไปจนกว่าจะมีลุ้นกับ Hilux เจนเนอเรชั่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในปี 2023-2024 แต่ในตลาดรถกระบะดัดแปลง หรือ PPV Toyota Fortuner ทำได้ดีกว่ามาก แม้ว่าในเดือนหลังๆ จะถูก Isuzu MU-X ปาดหน้าแซงขึ้นที่ 1 ได้บ้าง แต่ส่วนหนึ่ง ก็คือปัญหาการส่งมอบรถ ที่ไม่สามารถทำได้ดีเหมือน Isuzu ซึ่งจุดแข็งที่สำคัญของ Fortuner ก็คือดีไซน์ที่ดูดีกว่าคู่แข่งในตลาด โดยเฉพาะรุ่น Legender ที่สามารถต่อยอดความสำเร็จ ให้มากขึ้นไปอีก จึงไม่ใช่เรื่องยาก ที่ Fortuner จะสามารถครองความเป็นอันดับ 1 ไปได้ตลอดรอดฝั่ง จนถึงเจนเนอเรชั่นใหม่ แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายโมเดลแล้วก็ตาม
เรื่องนี้ Toyota เข้าใจดี และดูเหมือนจะภูมิใจในความเป็นอันดับ 1 ในเซกเมนต์นี้ ถึงกับตั้งชื่อรุ่นย่อยใหม่ ให้กับ Fortuner ว่า Leader เพื่อตอกย้ำให้ตลาดได้รับรู้ว่า ใครคือเบอร์ 1 ตัวจริง นอกจากนั้น ก็เป็นการกระตุ้นตลาด โดยการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยการนำเสนออ็อปชั่น และราคาให้เข้าถึงได้ง่าย แม้ว่า Toyota จะถูกมองมาโดยตลอดว่า เป็นแบรนด์ที่ให้อ็อปชั่นมาน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ซึ่งในมุมมองของชื่อชั้น และต้นทุนในการทำตลาดแล้ว Toyota คงไม่มีทางเลือกมากนัก ยิ่งในปัจจุบัน ที่มีการแข่งขันกันแบบดุเดือด และบริการหลังการขาย ที่ไม่ได้แตกต่างกันมากเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งความนิยมรถยนต์ใช้น้ำมัน เริ่มถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง Toyota ก็ยังไม่ได้เข้ามาในตลาด เจ้าตลาดรายนี้ จึงต้องพยายามหาจุดสมดุลย์ให้เหมาะสม ระหว่างกำไร และส่วนแบ่งทางการตลาด ในกรณีของ Fortuner ที่อยู่ในช่วงก่อนเปลี่ยนเจนเนอเรชั่น การเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ที่น่าสนใจ และคุ้มค่ากว่า เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่ไม่ได้เกินความคาดหมาย แต่ด้วยการที่ Fortuner โฉมนี้ ทำผลงานได้ดีกว่ามาตรฐาน บางที Toyota อาจจะเสียดายความได้เปรียบที่มีอยู่ หากต้องมีการเปิดตัวเจนเนอเรชั่นต่อไป ด้วยโฉมใหม่หมดทั้งคัน ที่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะสามารถทำได้ดีกว่าโฉมที่เห็นอยู่นี้ หรือไม่ แม้ว่าจะได้ความสดใหม่ในตลาดก็ตาม
ภาพการแข่งขันในตลาด PPV ในช่วงปี 2023 จะเริ่มชัดเจนขึ้น หลังจากที่ Ford สามารถผลิตและส่งมอบ Everest โฉมใหม่ ได้เต็มรูปแบบ ในขณะที่ Isuzu อาจจะมีการอัพเกรด MU-X ทั้งดีไซน์ อ็อปชั่น หรือแม้แต่ราคา ด้วยรุ่นย่อยใหม่ เพื่อไปให้ได้ไกลกว่านี้ โดยเฉพาะการรับมือกับ All-New Fortuner ที่คาดว่า อาจจะเริ่มมีความเคลื่อนไหวในปีหน้า หรืออย่างช้าปี 2024 แต่ PPV อีกรุ่นหนึ่ง ที่ต้องจับตามอง ก็คือ All-New Mitsubishi Pajero Sport ที่เราจะได้เห็น หลังจากการเปิดตัว Triton เจนเนอเรชั่นใหม่ไปแล้ว ซึ่งความเป็นไปได้ในการเปิดตัว ก็คือตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป ตามที่ Mitsubishi ได้ระบุไว้ในแผน ซึ่งถ้า Triton โฉมใหม่ เปิดตัวได้ตามแผน ในปลายปี 2022 นี้ โอกาสที่เราจะได้เห็นการเปิดตัว All-New Pajero Sport ในปี 2023 ก็มีอยู่สูง และนั่นทำให้ในตลาด จะมี PPV เจนเนอเรชั่นใหม่ ถึง 3 แบรนด์ ในช่วงปลายปี 2023 ถึงต้นปี 2024 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี ในการเปลี่ยนรถใหม่ เพราะรุ่นอื่นๆในตลาด อย่าง Isuzu MU-X และ Nissan Terra ก็น่าจะจัดเต็ม ในเรื่องอ็อปชั่นและแคมเปญพิเศษต่างๆ เพื่อสู้รบกับอีก 3 รุ่น
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น หากคุณสามารถรอไปได้จนถึงปี 2024 คุณก็จะมีทางเลือกที่หลากหลายมากกว่า เพราะตลาด น่าจะเริ่มมีการแนะนำขุมพลังทางเลือกใหม่ คือรุ่นไฮบริด ทั้งแบบไฮบริดดั้งเดิม และแบบ PHEV เพราะทั้ง Toyota Ford และ Mitsubishi มีแผนในการแนะนำเวอร์ชั่นไฮบริด ให้กับ รถกระบะ Pure Pickup อย่าง Hilux Ranger และ Triton อยู่แล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ก็น่าจะนำขุมพลังเดียวกัน มาใช้กับ PPV ด้วย โดยคาดว่า Toyota น่าจะเริ่มเปิดตลาดก่อน ด้วย Fortuner Hybrid ในปลายปี 2023 ส่วน Everest และ Pajero Sport น่าจะมีรุ่น PHEV ตามออกมาในปี 2024 เป็นอย่างเร็ว ส่วน Isuzu ก็อาจจะมีการเพิ่มรุ่นไฮบริดให้กับ MU-X ในช่วงปลายเจนเนอเรชั่น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดด้วย ซึ่งหากตลาดไม่ใหญ่มากนัก Isuzu ก็อาจจะรอไปจนถึงเจนเนอเรชั่นใหม่เลยทีเดียว สำหรับ Nissan มีลุ้นกับ Terra e-Power ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีในมืออยู่แล้ว การขยับตัวของ Isuzu และ Nissan เราน่าจะได้เห็นตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม หากขุมพลังไฮบริด ไม่สามารถทำยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ จนถือว่าเป็นหมัดเด็ดของแต่ละค่ายรถยนต์แล้ว ตลาดนี้ ก็อาจจะต้องไปวัดกันที่ดีไซน์ เหมือนที่ผ่านๆมา หากอ็อปชั่นและราคาไม่แตกต่างกันมากนัก Toyota จึงอาจจะต้องลุ้นมากกว่าเพื่อน เพราะในตอนนี้ ดีไซน์ของรถ ถือว่าเป็นจุดขายสำคัญของ Fortuner การปรับเปลี่ยนไปเป็นโฉมใหม่ทั้งคัน หากดีไซน์ใหม่ ไม่โดนใจตลาด งานนี้ อาจจะเสียแชมป์แบบยาวๆ ให้กับคู่แข่งรายอื่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะ Isuzu ที่พยายามดันให้ MU-X เป็นเบอร์ 1 ของตลาด เหมือนที่ทำได้ในออสเตรเลียมาแล้ว เพราะแม้ว่าขนาดของตลาดอาจจะเล็กมาก เมื่อเทียบกับตลาดรถกระบะทั่วไป แต่เรื่องของศักดิ์ศรี และภาพลักษณ์ของการเป็นเบอร์ 1 จะช่วยให้แบรนด์ ถูกยกระดับขึ้นไปอีก ซึ่งแน่นอนว่า ช่วยให้บริษัท ทำยอดขายและการตลาดได้ง่ายขึ้น
[yourchannel video=”tRLJoxqoTFw” autoplay=”1″ show_comments=”1″]