ก่อนหน้านี้ GMC ได้เผยข้อมูลบางส่วนของรถรุ่นนี้ไปบ้างแล้ว เพื่อปูทางในการเปิดตัว ก่อนที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ทุกอย่างต้องถูกเลื่อนออกไป จนมาถึงการเปิดตัวในวันนี้ Hummer EV มาพร้อมกระจังหน้า ที่เป็นเส้นแนวนอน ดูเรียบง่าย พร้อมตราสัญลักษณ์ Hummer ที่มีพื้น เป็นไฟส่องสว่าง LED มาพร้อมกันชนหน้าสีดำ และแผ่นกันกระแทกด้านใต้ ในสไตล์ออฟโรด
ในขณะที่ด้านข้าง มีลักษณะโป่งนูนขึ้นมาบริเวณเหนือซุ้มล้อ มากกว่าปกติ ที่เราได้เห็นในรถกระบะทั่วไป รวมถึงการใช้เส้นสายที่เป็นเหลี่ยมสัน คิ้วซุ้มล้อมีขนาดเล็กสีดำ ส่วนบริเวณด้านข้างส่วนล่าง จะมีการติดตั้งบันไดข้างแบบพิเศษขนาดใหญ่สีดำเช่นกัน พร้อมตกแต่งชายล่างสีเดียวกัน หลังคาเป็นแบบโปร่งใส สามารถถอดออกได้ เพื่อรับอากาศจากภายนอก ส่วนกระจกด้านหลัง เป็นแบบไฟฟ้าเลื่อนเปิดลงมาได้
ด้านหลังมาพร้อมไฟท้าย LED ลวดลายคล้ายเลข 8 กันชนขนาดใหญ่แบบ heavy duty มาพร้อมตะขอรูปตัว D กระบะท้ายเป็นแบบสั้น พร้อมฝาครอบไฟฟ้า และที่น่าสนใจก็คือ ฝาท้ายกระบะเป็นรุ่น MultiPro ที่ปรับได้ 6 รูปแบบด้วยกัน
ด้วยการเป็นรถในสไตล์ออฟโรด Hummer EV ได้รับการติดตั้งยาง Goodyear Wrangler All Territory MT ขนาด 35 นิ้ว ที่สามารถขับผ่านอุปสรรค ที่มีความสูงถึง 457 มม ได้ รวมถึงการลุยน้ำ ที่มีระดับความลึกไม่เกิน 610 มม ได้โดยไม่มีปัญหา และยังสามารถรองรับยาง ที่มีขนาดใหญ่ถึง 37 นิ้วได้ด้วย
ห้องโดยสารภายใน จะพบจอแสดงผลการขับขี่ดิจิตอลแบบลอยตัว ขนาด 12.3 นิ้ว ส่วนจอแสดงผลกลางระบบ infotainment เป็นขนาด 13.4 นิ้ว ที่มาพร้อมระบบ Hummer UltraVision รองรับมุมมองของกล้องรอบคัน 18 จุด ซึ่งมีทั้งภาพแบบเสมือนจริง และมุมมองใต้ท้องรถ ที่ช่วยในการขับผ่านอุปสรรคบนท้องถนน นอกจากนั้น ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเส้นทางที่แล่นผ่าน และข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับตัวรถ ทั้งระดับแรงดันลมยาง การใช้งานดิฟล็อก องศามุมปะทะ-มุมจาก ที่รถเคลื่อนตัวผ่าน
Hummer EV ยังมาพร้อมระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Super Cruise ที่ให้ผู้ขับขี่ สามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ บนเส้นทางไฮเวย์ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา รวมระยะทางกว่า 321,869 กิโลเมตร
ขุมพลังของรถกระบะรุ่นนี้ มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 3 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด รวม 1000 แรงม้า แรงบิดสูงสุด มากถึง 15,591 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้อัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3 วินาทีเท่านั้น โดยใช้ระบบช่วยออกตัวที่เรียกว่า Watts to Freedom โดยมอเตอร์ไฟฟ้าดังกล่าว ทำงานร่วมกับชุดแบตเตอรี่อัลเที่ยม ที่สามารถขับเคลื่อนรถกระบะรุ่นนี้ ไปได้ไกลสูงสุด ถึง 563 กิโลเมตร โดยใช้เวลาในการชาร์จไฟ เพียง 10 นาทีเท่านั้น ที่ให้รถสามารถแล่นไปได้ไกลสูงสุด 100 ไมล์ หรือ 161 กิโลเมตร จากระบบชาร์จไฟของ Hummer ขนาด 350 กิโลวัตต์ ทำให้สบายใจได้ ในทุกเส้นทาง
Hummer EV ยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่้มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า CrabWalk ที่ทำให้ล้อหน้าและหลัง หักเลี้ยวในมุมเดียวกัน ที่ระดับความเร็วต่ำ ทำให้รถสามารถเคลื่อนตัว ในแบบทะแยงมุมได้ ซึ่ง GMC เผยว่า ฟีเจอร์นี้ จะช่วยให้การควบคุมรถทำได้ดีขึ้น ในสภาพพื้นผิวสัญจรที่ไม่ปกติ นอกจากนี้ Hummer EV ยังมาพร้อมระบบกันสะเทือนอากาศแบบแปรผัน ที่มีโหมดการทำงานที่เรียกว่า Extract ซึ่งจะช่วยยกตัวรถให้สูงขึ้น ได้ถึง 149 มม บนพื้นถนน ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคกีดขวาง
GMC จะเปิดตัวรุ่นย่อย Edition 1 ก่อน ในราคาเริ่มต้น 112,595 เหรียญสหรัฐ หรือราว 3,520,000 บาท ที่มาพร้อมฟีเจอร์ต่างๆครบครัน ในตัวถังสีขาว ภายในสีดำสลับสีเงิน ตกแต่งด้วยชิ้นงานสีทอง หลังจากนั้นในปี 2022 จะมีการเปิดตัวรุ่น 3X ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่มีราคาต่ำลงมา คือที่ 99,995 เหรียญสหรัฐ หรือราว 3,125,000 บาท โดยระบบขับเคลื่อน ยังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แต่กำลังสูงสุด ลดลงไปเหลือ 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 12880 นิวตันเมตร ระยะทางสูงสุด ลดเหลือ 483 กิโลเมตร/ชาร์จ
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ของปี 2023 GMC จะเปิดตัวรุ่นย่อย 2X ในราคา 89,995 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,807,000 บาท โดยจะมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 625 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 10,033 นิวตันเมตร แต่ระยะทางที่แล่นได้ไกลสูงสุด ยังอยู่ที่ 483 กิโลเมตร/ชาร์จ เช่นเดียวกับรุ่น 3X
และในปี 2024 GMC จะเปิดต้วรุ่นเริ่มต้น ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 79,995 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,500,000 บาท ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แต่ระยะทางที่แล่นได้ไกลสูงสุด จะลดลงเหลือ 402 กิโลเมตร/ชาร์จ
GMC จะเริ่มจำหน่าย Hummer EV ในปลายปี 2021 และเปิดรับจองแล้ว ด้วยเงินมัดจำเพียง 100 เหรียญสหรัฐเท่านั้น