สืบเนื่องจากการแถลงข่าว เกี่ยวกับแผนธุรกิจระยะกลาง ของ Mitsubishi Motors Corporation เมื่อ 1-2 วันก่อน ที่บริษัท จะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2020 ไปจนถึงปี 2022 ซึ่งได้แก่ รถกระบะปิกอัพยอดนิยม Triton รถกระบะดัดแปลง หรือ PPV Pajero Sport รถอเนกประสงค์ Xpander รถเอสยูวี Outlander และรถยนต์อีกหลายรุ่น รวมถึงการเปิดตัวเวอร์ชั่นไฮบริด ของรุ่นต่างๆ แต่แผนงานล่าสุด กลับไม่มีการพูดถึงรถซีดานอย่าง Attrage และแฮทช์แบ็คอย่าง Mirage ที่มีการทำตลาดมายาวนานถึง 8 ปี และมีการปรับโฉมไปถึง 2 ครั้ง
ใน 2-3 ปีหลังมานี้ Mitsubishi ได้เคยเปิดเผยอยู่เป็นระยะว่า บริษัทจะมุ่งเน้นไปสู่การทำตลาดรถยนต์ที่มีศักยภาพ ทั้งเอสยูวี รถกระบะปิกอัพ รถอเนกประสงค์ พร้อมกับการหยุดการทำตลาดรถซีดานในตำนาน อย่าง Lancer ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการทำตลาดใน segment นี้ น้อยลงไปเรื่อยๆ แม้ว่าในขณะนั้น ยังมีการทำตลาดซีดานขนาดเล็ก อย่าง Attrage หรืออีกชื่อหนึ่งในต่างประเทศ ว่า Mirage G4 และการปรับโฉมทั้ง Attrage และ Mirage เมื่อไม่นานมานี้ ก็ดูเหมือนว่า บริษัทยังให้ความสำคัญ กับตลาดนี้อยู่
อย่างไรก็ตาม หากมองอีกมุมหนึ่ง จะพบว่า การที่ Mitsubishi ทำการปรับโฉมเป็นครั้งที่ 2 ในเจนเนอเรชั่นเดียวกัน ก็เป็นการแสดงออกว่า บริษัทยังไม่มีการปรับโฉมใหม่หมดทั้งคัน ในเวลาอย่างน้อย 2 ปีหลังจากนั้น ซึ่งนั่นทำให้รถยนต์นั่งขนาดเล็กทั้งสองรุ่น มีอายุยืนยาวไปกว่า 10 ปี ในเจนเนเรชั่นเดียว ซึ่งโอกาสแบบนี้ เกิดขึ้นได้น้อยมาก สำหรับค่ายรถยนต์ที่มีการปรับโฉมบ่อยครั้งแบบญี่ปุ่น การที่ไม่มีการพูดถึงรถยนต์ทั้งสองรุ่น ในแผนธุรกิจระยะกลางครั้งล่าสุด จึงอาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้ทราบโดยกลายๆ ว่าบริษัท ไม่มีแผนในการพัฒนาทั้ง Mirage และ Attrage ไปสู่เจนเนเรชั่นใหม่อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ เคยมีผู้บริหารระดับสูงของ Mitsubishi ซึ่งก็คือ Trevor Mann COO ของบริษัท ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ ถึงอนาคตของ Lancer ที่อาจจะกลับมาอีกครั้ง โดยใช้แพลตฟอร์มมาจาก Renault Megane แต่หลังจากนั้น ผู้บริหารรายดังกล่าว ก็ได้โบกมือลาบริษัทเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากการให้สัมภาษณ์ จึงเป็นไปได้ว่า ผู้บริหารชุดใหม่ อาจจะมองว่า ตลาดรถซีดานและแฮทช์แบ็ค ไม่ใช่ตลาดที่น่าสนใจอีกต่อไป แม้แต่ตลาดที่มีกำลังซื้อสูงอย่างยุโรป Mitsubishi เอง ก็เพิ่งประกาศถอนตัวออกมา เพื่อที่จะทุ่มทรัพยากรที่มีอยู่ ให้กับตลาดที่มีศักยภาพสำหรับบริษัท อย่างอาเซียน และตลาดเกิดใหม่ต่างๆ การยุติการทำตลาดรถยนต์เพียงแค่ 2 รุ่น ที่ไม่มีศักยภาพในอนาคตมากพอ จึงเป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้ไม่ยาก