หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมเริ่มทำตลาดไปแล้ว เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ Vinfast ค่ายรถยนต์แห่งชาติเวียดนาม ก็ส่ออาการไม่ดีตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการออกมายอมรับว่า บริษัทมีปัญหาการขาดทุน จากการจำหน่ายรถทั้ง 3 รุ่น คือ ซีดานรุ่น Lux A ที่คิดตัวเลขขาดทุนเป็นเงินไทย ราว 350,000 บาท/คัน เอสยูวีรุ่น Lux SA ที่ขาดทุน 2 แสนบาท/คัน และแฮทช์แบ็ครุ่น Fadil ที่ขาดทุน 80,000 บาท/คัน ซึ่งเป็นการประกาศขึ้นราคาครั้งที่ 2 ในรอบ 20 วัน และถือว่าเป็นตัวเลขการขาดทุนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้น้อย อย่างเวียดนาม ซึ่งมีรายได้ต่อหัวต่อปี อยู่ที่ประมาณ 77,000 บาท หรือเพียง 6,400 บาท/เดือน จากตัวเลขของ IMF ในปี 2018
และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ผู้บริหารของ Vinfast ออกมายอมรับกันตรงๆ แบบไม่กลัวเสียหน้า พร้อมแจกแจงรายละเอียด การคิดต้นทุนและภาษีต่างๆ เพื่อแสดงที่มาที่ไปว่า ทำไมบริษัท จึงขาดทุนในระดับตัวเลขดังกล่าว และอาจจะถือว่าเป็นส่งสารขอความเห็นใจ ไปยังกลุ่มเป้าหมายไปพร้อมๆกัน ว่าบริษัทมีความจำเป็น ที่จะต้องปรับราคารถยนต์ทั้ง 3 รุ่นขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
การออกมาประกาศปรับราคาของ Vinfast เกิดขึ้นในขณะที่คู่แข่งต่างๆ กำลังทำการลดแหลกแจกแถม ในช่วงสิ้นปี ซึ่ง Nguyen Thi Van Anh รองผู้จัดการทั่วไปของ Vinfast ก็ออกมายอมรับว่า มันเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะอธิบายให้กับลูกค้าเข้าใจ ถึงการปรับราคาขึ้นในครั้งนี้
ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ราคาที่ถูกปรับขึ้นใหม่นี้ จะสูงกว่าราคารถยนต์ของคู่แข่ง ทั้งจากค่ายญี่ปุ่นและเกาหลี ที่มีจำหน่ายในเวียดนาม แต่ยังต่ำกว่าราคารถยนต์จากค่ายเยอรมนี ที่ Vinfast มองว่า เป็น segment ที่บริษัทกำลังโฟกัสอยู่ ซึ่ง Lux A ถูกพัฒนาขึ้นมา โดยใช้พื้นฐานมาจาก BMW 5-Series ส่วน Lux SA ใช้พื้นฐานมาจาก BMW X5 เจนเนอเรชั่นก่อน
เมื่อมองภาพโดยรวมแล้ว Vinfast น่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เพราะบริษัทเอง เพิ่งเป็นแบรนด์ใหม่ และเป็นสัญชาติเวียดนาม ที่จะต้องสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้น และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มากกว่านี้มาก แต่กลับมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่ารถญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับ มานานหลายสิบปี และมีคุณภาพ ที่น่าไว้วางใจได้มากกว่า เมื่อเทียบกับรถยนต์แบรนด์ใหม่ ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ใดๆ ซึ่งตลาดในประเทศเอง ก็มีกำลังซื้อต่ำ ในขณะที่ตลาดต่างประเทศ ก็ยาก ที่จะสร้างการยอมรับได้ในขณะนี้