Honda เพิ่งเปิดตัว All-New Jazz เจนเนอเรชั่นใหม่ ในงาน Tokyo Motor Show 2019 ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมประกาศทำตลาดรถยนต์นั่งยอดนิยมรุ่นนี้ ในประเทศญี่ปุ่นและยุโรป ในขณะที่เมืองไทย ก็มีข่าวลือ เกี่ยวกับการหยุดการทำตลาด Jazz โดยคาดว่าจะมี All-New City เวอร์ชั่น 5 ประตู เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ทดแทน และทุกอย่าง ดูเหมือนจะเงียบไป จากข่าวการเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นต่างๆในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าอีกฝากฝั่งของโลก อย่างออสเตรเลีย มีการขยับตัวในเรื่องนี้ จากการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ของ Stephen Collins ผู้บริหารของ Honda Australia ว่ามีความเป็นไปได้ ที่ Honda จะหยุดทำตลาด Jazz ในแดนจิงโจ้ อันเนื่องมาจากกำไรที่ลดลง จนไม่คุ้มกับการลงทุน อีกทั้งตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก มีการหดตัวลง ถึง 16.9% ในปีนี้ และมีส่วนแบ่งตลาดรวมกัน เพียง 6% เท่านั้น แตกต่างจากตลาด crossover หรือ SUV ขนาดเล็ก ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ ก็ประสบปัญหาเดียวกัน ยกเว้นผู้เล่นอย่าง MG3 จากจีน และ Suzuki Baleno ที่นำเข้าจากอินเดีย ที่ยังสามารถทำสงครามราคาได้อยู่ในปัจจุบัน
สาเหตุอื่น ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นก็คือ การที่ต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยต่างๆมาให้ด้วย รวมถึงความสามารถในการรองรับอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ที่ถือว่ามีความจำเป็นในปัจจุบันไปแล้ว ซึ่ง Honda เอง ก็มีปัญหาใหม่เพิ่มเติมเข้ามา นั่นก็คือต้นทุนการนำเข้า Jazz มาจากประเทศไทย จากการแข็งค่าของเงินบาท มานานหลายเดือน ส่งผลให้กำไรที่ได้ ลดน้อยลงไปอีก ซึ่ง Honda เอง ก็ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ว่าบริษัทควรจะหยุดทำตลาด Jazz ในออสเตรเลีย หรือไม่ ซึ่งในช่วงนี้ บริษัทพยายามระบายสินค้าที่มีอยู่ในสต็อก ออกไป ให้ได้มากที่สุด
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก่อนหน้านี้ สื่อมวลชนสายยานยนต์ ได้สอบถามผู้บริหารของ Honda Automobile ประเทศไทย เกี่ยวกับอนาคตของ Honda Jazz ในเมืองไทย ซึ่งล่าสุด ผู้บริหารของ Honda เอง ก็ยังไม่ได้ให้คำตอบใดๆ เพียงแต่เปรยว่า ให้รอดูความเคลื่อนไหวในปีหน้า ซึ่งในช่วงนี้ บริษัทขอโฟกัส ในเรื่องการทำตลาดรถยนต์รุ่นใหม่ อย่าง All-New City และรถใหม่รุ่นอื่นๆไปก่อน
และถ้าวิเคราะห์จากคำให้สัมภาษณ์ ของผู้บริหาร Honda Australia เกี่ยวกับเหตุผลในการหยุดทำตลาด Jazz เนื่องจากกำไรที่ลดลง และตลาดที่หดตัว การหาทางออก โดยการทำตลาดทดแทน ด้วยรุ่น City hatchback ในเมืองไทย ดูจะมีความเป็นไปได้สูง เพราะบริษัท สามารถใช้ไลน์การผลิตที่มีอยู่แล้ว และชิ้นส่วนต่างๆที่ใช้ร่วมกัน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ต่ำลง เพราะถ้าหากยอดการส่งออก Jazz ลดลง จากการหยุดทำตลาดในบางประเทศ นั่นหมายความว่า ต้นทุนต่อหน่วยในการผลิตย่อมสูงขึ้น ทำให้ความเป็นไปได้ ที่เราจะเห็น Honda หยุดทำตลาด Jazz ในเมืองไทย มีสูงมากขึ้นไปอีก
จะว่าไปแล้ว Jazz ก็ยังถือว่าเป็นรถยนต์รุ่นที่ขายดีและมีชื่อเสียง ในระดับต้นๆของตลาดเมืองไทยมานานหลายปี Honda ประเทศไทย ก็คงไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่างทางการตลาดใน segment นี้ ซึ่งในปี 2020 ที่กำลังจะมาถึง เราน่าจะได้เห็นความชัดเจนมากขึ้น ในเรื่องนี้