ท่ามกลางสงครามราคาระหว่างค่ายรถยนต์จีนกับค่ายรถยนต์สัญชาติอื่นๆ ที่ดูเหมือนผู้กระทำ จะเป็นค่ายรถยนต์จีนอยู่ฝั่งเดียวเสียมากกว่า และหากเป็นไปได้ ผู้ชนะยังต้องการให้คู่แข่งอื่นๆ หายออกไปจากตลาดด้วย เหมือนอย่างที่บริษัทจากแดนมังกรเหล่านี้ ทำกับคู่แข่งสัญชาติเดียวกันมาแล้วในตลาดจีน นั่นจึงนำมาสู่การทำสงครามราคา ในทุกสมรภูมินอกปรเทศจีน ซึ่งไทยเราเอง ก็ได้รับอานิสงค์ในเรื่องนี้ไปด้วย เรียกว่า ไม่เคยเจอการลดราคารถยนต์กันแบบติดๆแบบนี้มาก่อนในอดีต แต่ที่ผ่านมา ปัจจัยที่ช่วยทำให้การลดราคาแบบถี่ๆเกิดขึ้นได้ นอกจากนโยบายในการทำราคาเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดแล้ว ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีที่ทำให้ต้นทุนต่ำลง ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแข่งขันในด้านราคาเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีสำหรับผู้ใช้รถยนต์อีก เมื่อสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ประเทศจีนได้ผลิตแบตเตอรี่เกินความต้องการของตลาดโลกไปมาก จนหลายฝ่ายเชื่อว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่การลดราคารถยนต์ไฟฟ้าของค่ายรถยนต์ต่างๆอีกครั้ง
สำนักข่าวดังเผยว่า กำลังการผลิตแบตเตอรี่กำลังล้นโลก ส่งผลให้บริษัทยานยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่ อาจจะพบกับความยากลำบากในการแจ้งเกิดในตลาดนี้ โดยได้มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและสถานีสำรองไฟในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 950 กิกะวัตต์ชั่วโมง แต่กำลังการผลิตแบตเตอรี่ทั่วโลก มีมากกว่า 2 เท่าตัว คืออยู่ที่ราว 2,600 กิกะวัตต์ชั่วโมง การผลิตแบตเตอรี่ในประเทศจีนเพียงประเทศเดียวในปี 2023 ก็เท่ากับความต้องการใช้แบตเตอรี่ของทั้งโลกแล้ว
สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่เป็นเพียงประเทศเดียว ที่พยายามเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดแบตเตอรี่ของโลก แคนาดา ยุโรป อินเดีย และอีกหลายประเทศ ก็พยายามออกมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศของตัวเอง นั่นหมายความว่า สถานการณ์แบตเตอรี่ล้นตลาด จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก Bloomberg ได้ทำการสำรวจแล้วพบว่า กำลังการผลิตแบตเตอรี่ จะอยู่ที่ 7.9 เทราวัตต์ชั่วโมง ภายในสิ้นปี 2025 แต่คาดว่าความต้องการของตลาดจะอยู่ที่เพียง 1.6 เทราวัตต์ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งๆที่เป็นการคาดการณ์ ภายใต้การสันนิษฐานที่ว่า ความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของสถานีสำรองไฟ ต่อให้ใช้ตัวเลขครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิต ก็เพียงพอที่จะรองรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายเกือบทุกคันในโลกจนถึงปีหน้า หากใช้แบตเตอรี่แพ็คขนาด 50 กิโลวัตต์ชั่วโมง ตอนนี้ กำลังการผลิตที่ถูกประกาศออกมา จะไม่ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะมีการผลิตที่ล่าช้ากว่าแผนงาน หรือบางส่วน อาจจะถูกยกเลิกไป ทำให้ภาพของความเป็นจริงชัดเจนมากขึ้น และผู้เล่นในตลาด ก็ทยอยล้มหายตายจากกันไป บางส่วนของ supply chain ก็ไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามที่กำหนด ทำให้ไม่สามารถทำตัวเลขของอุปสงค์และอุปทาน ให้สอดคล้องกันได้ เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่สินค้าทั่วไป มันมีรูปแบบ ส่วนผสมทางเคมี และปัจจัยอื่นๆที่ต่างกัน รวมถึงความต้องการที่แตกต่างกันไป ของค่ายรถยนต์ และรุ่นรถยนต์ที่ใช้ด้วย โรงงานก็ไม่สามารถเดินสายการผลิตได้ ตามที่วางแผนเอาไว้ ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิต ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ในช่วง 2-3 ปีหลัง
สถานการณ์แบบนี้ ก่อให้เกิดนัยยะสำคัญหลายประการตามมา อย่างแรกก็คือ ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะตกลง กำไรลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนี้ กล่าวคือ ราคาแบตเตอรี่แพ็ค ลดลง 14% ในปี 2023 ที่ผ่านมา และ CATL ได้ประกาศว่า บริษัทคาดว่า จะสามารถจำหน่ายเซลล์แบตเตอรี่ได้ ในราคาที่ต่ำกว่า 60 ดอลล่าร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงในปีนี้
ราคาแบตเตอรี่ กำลังปรับระดับสู่จุดที่เท่าๆกันในทุกเซกเตอร์ เพราะบริษัทผู้ผลิต กำลังมองหาตลาดใหม่ เพื่อกระจายสินค้าของตัวเอง เมื่อไม่กี่ปีก่อน แบตเตอรี่ที่ใช้กับรถเพื่อการพาณิชย์ มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์นั่งอยู่มาก เพราะรถบรรทุก รถเพื่อการพาณิชย์ทั้งหลาย ถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดเล็กกว่า แต่ช่องว่างเริ่มแคบลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดเริ่มปรับตัวเข้ามาลูกค้ามากขึ้น และคาดว่า ระดับราคาจะใกล้เคียงกัน อันเนื่องมาจากการผลิตแบตเตอรี่ เกินความต้องการของตลาด ถือว่าเป็นข่าวดี สำหรับผู้ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้าอีกด้วย
ราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง จะทำให้เป็นเรื่องยาก สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ ในการเข้าสู่ตลาด แม้ว่าจะมีการสนับสนุนโดยรัฐบาลก็ตาม การสร้างโรงงานคือเรื่องหนึ่ง แต่การขึ้นสายการผลิตใหม่ มีความท้าทายอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน การกำจัดของเสียจากการผลิต ซึ่งจะมีต้นทุนที่สูงในช่วงเริ่มต้น แล้วค่อยๆลดระดับลงมา อย่างกรณีของผู้ผลิตแบตเตอรี่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ได้รับการสนับสนุนจากทางรัฐบาล ก็ยังถูกตัดราคา โดยผู้เล่นจากจีน ในขณะที่ทั้ง BYD และ CATL ยังลงทุนต่อเนื่อง เป็นจำนวนเงินลงทุน หลายพันล้านดอลล่าร์ในการวิจัยและพัฒนา และยังสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างเหล่านี้ ถือว่าเป็นผลดีต่อผู้ซื้อ ซึ่งในปี 2025 และ 2026 จะมีการวางตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีราคาถูกลงอีก และหากความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าลดลง ราคาแบตเตอรี่ ก็จะตกลงตามไปด้วย นำไปสู่ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงในที่สุด ซึ่งก็จะกลับไปกระตุ้นตลาด ให้มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง จากราคาที่ลดลงไป คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ แล้วราคาแบตเตอรี่ที่ต่ำลง จะยืนยาวเป็นเวลานานแค่ไหน จากภาวะการผลิตล้นตลาด ราคารถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันที่ต่ำอยู่แล้ว ได้รับแรงหนุนจากต้นทุนของวัตถุดิบที่ต่ำลง เช่น ลิเธียม ซึ่งถือว่ามีปริมาณที่เกินความต้องการของตลาดไปแล้ว แต่สภาวะดังกล่าว จะกินเวลาไม่นานนัก เพราะการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ สามารถทำได้เร็วกว่าการหาเหมืองแร่ใหม่ๆ ทำให้แร่ที่มีอยู่เกินความต้องการ ถูกนำไปใช้ การตัดราคา ยังเกิดจากการที่ผู้เล่นบางราย ต้องการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเอาไว้ และบีบให้ผู้เล่นรายเล็กๆ ออกไปจากตลาด อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจจะมีส่วนกำหนดทิศทางของราคาในตลาดเช่น เทคโนโลยี และการพัฒนาในด้านการผลิต โดยสรุปแล้ว ปริมาณการผลิตแบตเตอรี่ที่เกินความต้องการของตลาด จะส่งผลดีต่อผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และกินเวลาไประยะหนึ่ง ส่วนจะยาวนานแค่ไหน ต้องดูปัจจัยอื่นๆในขณะนั้น แต่จะเป็นอุปสรรคในการแข่งขัน สำหรับผู้เล่นรายใหม่ในตลาด